ในยุคที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับประเทศ คำว่า “Startup” และ “SME” จึงได้กลายมาเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ แต่จะเลือกแบบไหนดี? และทั้งสองรูปแบบต่างกันอย่างไร? สองคำถามนี้สำคัญอย่างยิ่ง เพราะการเข้าใจความแตกต่างระหว่างธุรกิจทั้งสองแบบนี้จะสามารถช่วยให้คุณวางแผนและกำหนดทิศทางธุรกิจได้ตรงเป้าหมายมากขึ้น
ดังนั้น ในบทความนี้ Sixtygram Agency จะขออาสาพาคุณไปทำความรู้จักกับความหมาย ลักษณะเด่น และความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง Startup และ SME รวมถึงมาตรการทางภาษี เพื่อให้คุณเลือกรูปแบบธุรกิจที่เหมาะกับวิสัยทัศน์และเป้าหมายของคุณที่สุดกัน
Startup คืออะไร?

Startup(สตาร์ทอัพ) คือ รูปแบบของธุรกิจหรือกิจการที่คิดค้นมาเพื่อรองรับการเติบโตแบบก้าวกระโดด ทำให้แนวทางการหาเงินทุน โครงสร้างบริษัท และวิธีการทำการตลาด แตกต่างกับธุรกิจทั่วไปโดยสิ้นเชิง กล่าวคือ ธุรกิจ Startup จะวางแผนมาเพื่อเติบโตอย่างน้อย 1,000% ต่อปี ซึ่งต่างจาก SME ทั่วไปที่มักเติบโตประมาณ 15-30% ต่อปี
โดยธุรกิจที่จะเป็น Startup ได้จะต้องมีลักษณะเด่นที่สำคัญอยู่ 2 ประการ ได้แก่
1. นำเสนอสิ่งที่ตลาดขนาดใหญ่ต้องการ (Mass Market) ความสามารถในการนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการของ Startup มักตอบโจทย์ความต้องการของตลาดขนาดใหญ่ ซึ่งหมายถึงการแก้ปัญหาหรือสร้างคุณค่าให้กับผู้คนจำนวนมาก เช่น แอพพลิเคชันเรียกรถที่แก้ปัญหาการเดินทางของคนทั้งประเทศ หรือแพลตฟอร์มการเรียนออนไลน์ที่ช่วยให้ทุกคนเข้าถึงการศึกษาได้ง่ายขึ้น ขนาดของตลาดจึงต้องใหญ่พอที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตแบบก้าวกระโดดได้
2. สามารถเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่นั้นได้อย่างรวดเร็ว (Fast Market Entry) ความสามารถในการเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่นั้นได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพนั้น โดยส่วนใหญ่แล้วในปัจจุบัน Startup หลายแห่งมักจะใช้เทคโนโลยีเป็นตัวช่วยสำคัญในการขยายฐานลูกค้า เช่น การขายและพัฒนาสินค้าผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่สามารถขายสินค้าให้ลูกค้าได้พร้อมกันทั่วประเทศผ่านระบบออนไลน์ โดยไม่ติดข้อจำกัดด้านพื้นที่หรือข้อจำกัดของสินค้า Physical Product ที่เปลี่ยนเป็น Digital Product ด้วยความสามารถในการจัดการการเติบโตอย่างรวดเร็วนี้เองที่ทำให้ Startup สามารถสร้างการเติบโตได้มากกว่า 1,000% ต่อปีให้เป็นเรื่องง่ายดาย
SME คืออะไร?

SME (Small and Medium Enterprises) หรือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม คือธุรกิจที่มีขนาดเล็กถึงปานกลาง ดำเนินการโดยผู้ประกอบการรายย่อย มีเงินลงทุนและพนักงานไม่มาก โดยแบ่งเป็น 3 ประเภทตามขนาด ตามข้อกำหนดของกฎหมาย SME ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
- วิสาหกิจขนาดย่อย (XS)
- พนักงานไม่เกิน 5 คน หรือรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาท/ปี
- วิสาหกิจขนาดย่อม (S)
- การผลิต: พนักงานไม่เกิน 50 คน หรือรายได้ไม่เกิน 100 ล้านบาท/ปี
- การค้า/บริการ: พนักงานไม่เกิน 30 คน หรือรายได้ไม่เกิน 50 ล้านบาท/ปี
- วิสาหกิจขนาดกลาง (M)
- การผลิต: พนักงานไม่เกิน 200 คน หรือรายได้ไม่เกิน 500 ล้านบาท/ปี
- การค้า/บริการ: พนักงานไม่เกิน 100 คน หรือรายได้ไม่เกิน 300 ล้านบาท/ปี

SME มีลักษณะสำคัญที่โดดเด่นคือการเริ่มต้นด้วยเงินทุนส่วนตัวของเจ้าของหรือการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน โดยมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจที่จับต้องได้ เช่น การผลิต การค้า และการบริการ ด้วยความเป็นอิสระในการบริหารจัดการ SME มักเติบโตอย่างมั่นคงประมาณ 15-30% ต่อปี โดยมุ่งเน้นสร้างกำไรตั้งแต่เริ่มต้นและให้ความสำคัญกับความยั่งยืนของธุรกิจเพื่อการสืบทอดกิจการในอนาคต
ทั้งนี้ ด้วยขนาดองค์กรที่ไม่ใหญ่มาก ทำให้สามารถดูแลและให้บริการลูกค้าได้อย่างใกล้ชิด ส่งผลให้ SME เป็นรากฐานสำคัญของระบบเศรษฐกิจ สร้างการจ้างงาน และกระจายรายได้สู่ชุมชน แม้จะมีข้อจำกัดในการขยายธุรกิจ แต่ก็มีความมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว
ข้อแตกต่าง Startup vs SME

หากคุณกำลังเริ่มต้นธุรกิจ หรือกำลังพิจารณาปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจ การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Startup กับ SME จะช่วยให้คุณวางแผนและกำหนดทิศทางการเติบโตได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เรามาดูความแตกต่างที่สำคัญทั้ง 7 ข้อเหล่านี้กัน
1. เป้าหมายการเติบโต
Startup มุ่งเน้นการเติบโตแบบก้าวกระโดดที่ 1,000% ต่อปีขึ้นไป ด้วยโมเดลธุรกิจที่สามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ SME เติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปที่ 15-30% ต่อปี เน้นความมั่นคงและความยั่งยืนของธุรกิจ
2. แหล่งเงินทุน
Startup พึ่งพาการระดมทุนจากนักลงทุนภายนอก โดยเฉพาะ Venture Capital ที่พร้อมรับความเสี่ยงสูงเพื่อผลตอบแทนที่มากกว่า ส่วน SME มักใช้เงินทุนส่วนตัวของเจ้าของกิจการหรือกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ซึ่งมีความเสี่ยงและต้นทุนทางการเงินที่ต่ำกว่า
3. รูปแบบธุรกิจ
Startup มักนำเสนอนวัตกรรมหรือโซลูชันทางเทคโนโลยีที่สามารถขยายตัวได้โดยไม่มีข้อจำกัดทางกายภาพ ในขณะที่ SME ดำเนินธุรกิจแบบดั้งเดิมที่เน้นสินค้าและบริการที่จับต้องได้ ซึ่งมักมีข้อจำกัดในการขยายตัวด้านกำลังการผลิตหรือพื้นที่ให้บริการ
4. การบริหารความเสี่ยง
Startup ยอมรับความเสี่ยงสูงในการทดลองโมเดลธุรกิจใหม่ โดยหวังผลตอบแทนที่อาจสูงถึง 50-100 เท่า ส่วน SME เน้นการบริหารความเสี่ยงแบบอนุรักษ์นิยม มุ่งรักษาเสถียรภาพทางการเงินและความมั่นคงของธุรกิจในระยะยาว
5. โครงสร้างองค์กร
Startup มีโครงสร้างองค์กรที่ยืดหยุ่น พร้อมปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ และรองรับการเติบโตอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ SME มีโครงสร้างองค์กรแบบดั้งเดิม เน้นสายการบังคับบัญชาที่ชัดเจนและการควบคุมที่เป็นระบบ
6. กลยุทธ์ทางการตลาด
Startup มุ่งสร้างฐานผู้ใช้ให้ใหญ่ที่สุดก่อน แม้ยังไม่มีรายได้ โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการขยายตลาด ส่วน SME เน้นการสร้างรายได้และกำไรตั้งแต่เริ่มต้น มุ่งเน้นตลาดเฉพาะกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนที่แน่นอน
7. เป้าหมายระยะยาว
Startup มักวางแผน Exit ผ่านการขายกิจการหรือเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อสร้างผลตอบแทนให้นักลงทุน ในขณะที่ SME มุ่งดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เน้นการสร้างรายได้ที่มั่นคงและการส่งต่อกิจการสู่รุ่นต่อไป
เปรียบเทียบสิทธิประโยชน์ทางภาษีของ SME และ Startup
สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับ Startup และ SME ในไทยและต่างประเทศนั้นมีข้อแตกต่างกันหลายประการ
สำหรับในประเทศไทย SME ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีพื้นฐานอย่างการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราพิเศษ คือ 15% สำหรับกำไรสุทธิ 300,001 – 3,000,000 บาท และ 20% สำหรับกำไรสุทธิส่วนที่เกิน 3,000,000 บาท นอกจากนี้ยังมีสิทธิในการหักค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นสำหรับการลงทุนในทรัพย์สิน การจ้างงาน และการฝึกอบรมพนักงาน รวมถึงการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับ SME ที่มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี

ในขณะที่ Startup ไทยจะได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษที่มากกว่า โดยเฉพาะ Startup ที่จดทะเบียนกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุดถึง 8 ปี สำหรับรายได้จากการประกอบกิจการที่ได้รับการส่งเสริม หรือโครงการ Capital Gains Tax Exemption ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรจากการขายหุ้น Startup ไทย นอกจากนี้ นักลงทุนที่ลงทุนใน Startup (Angel Investor) ยังได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุด 100% ของเงินลงทุน และ Startup ในอุตสาหกรรมเป้าหมายยังสามารถขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ซึ่งมีสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม เช่น การยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบ

ในต่างประเทศ รัฐบาลหลายประเทศมีนโยบายส่งเสริม Startup อย่างจริงจัง เช่น สิงคโปร์มีโครงการ Tax Exemption for New Startups ที่ยกเว้นภาษี(FTE) 100% สำหรับรายได้ 100,000 ดอลลาร์สิงคโปร์แรกในช่วง 3 ปีแรก และ 50% สำหรับรายได้อีก 200,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ถัดไป สหรัฐอเมริกามี R&D Tax Credit ที่ให้เครดิตภาษีสูงถึง 20% ของค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนา และอนุญาตให้ Startup นำไปหักกับภาษีเงินเดือนพนักงานได้ถึง 250,000 ดอลลาร์ต่อปี ส่วนสหราชอาณาจักรมีโครงการ Seed Enterprise Investment Scheme (SEIS) ที่ให้นักลงทุนสามารถนำเงินลงทุนใน Startup มาหักลดหย่อนภาษีได้ถึง 50% และยกเว้นภาษีกำไรจากการขายหุ้นหากถือครองนานกว่า 3 ปี
โดยความแตกต่างของสิทธิประโยชน์ทางภาษีระหว่าง Startup และ SME สะท้อนให้เห็นนโยบายของภาครัฐที่ต้องการส่งเสริมธุรกิจนวัตกรรมที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ในขณะเดียวกันก็ยังคงสนับสนุน SME ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของระบบเศรษฐกิจ โดยการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เหมาะสมกับขนาดและลักษณะการดำเนินธุรกิจทั่วไปนั่นเอง