AMINTRA

18 มีนาคม 2024

SEO คืออะไร? – Search Engine Optimization

SEO ย่อมาจาก “Search Engine Optimization.” ซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่าการเพิ่มประสิทธิภาพกลไกค้นหา พูดง่ายๆ ก็คือ SEO หมายถึงกระบวนการปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณเพื่อเพิ่มการมองเห็นในระบบค้นหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Google, Microsoft Bing, Facebook และเครื่องมือค้นหาตามเว็บไซต์ใดๆก็ตามเมื่อมีคนค้นหาตามถ้อยคำ(KeyWord) เช่นถ้อยคำดังต่อไปนี้

รายการสินค้าที่คุณขาย?
ชื่อบริการที่คุณมี?
ข้อมูลเกี่ยวกับหัวข้อที่คุณมีความเชี่ยวชาญ ? หรือมีความเป็นมืออาชีพ

ยิ่งหน้าเว็บของคุณปรากฏในผลการค้นหาได้ดียิ่งขึ้นเท่าใด ตามอันดับของผลการค้นหา(Ranking) คุณก็จะมีโอกาสถูกพบเห็นและเพิ่มโอกาศให้ลูกค้าคลิกเข้าชมมากขึ้นเท่านั้น ท้ายที่สุดแล้ว เป้าหมายของการเพิ่มประสิทธิภาพกลไกค้นหาด้วย SEO คือการช่วยดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่จะกลายเป็นลูกค้า หรือผู้ชมที่กลับมาพิจารณาเพื่อสั่งซื้อหรืออ่านเนื้อหาของคุณมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนำไปสู่การปิดการขายในที่สุด

โดยสิ่งที่คุณจะได้พบในบทความนี้ ได้แก่

ความต่างระหว่าง SEO SEM และ PPC

SEM ย่อมาจาก Search Engine Marketing หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า Search Marketing หรือ การตลาดผ่านการค้นหา ซึ่งเป็นการตลาดดิจิทัลประเภทหนึ่งที่ใช้เรียกรวมระหว่างกลยุทธิ์ SEO และ PPC เข้าด้วยกัน ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มปริมาณการเข้าชมผ่านการค้นหาทั่วไปและการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายอย่างผสมผสาน

พูดง่ายๆ ก็คือ การตลาดผ่านการค้นหา(Search Marketing) เป็นกระบวนการในการดึงดูดผู้เข้าชมและการมองเห็นจากเครื่องมือค้นหา(Search Engine) โดยใช้กลยุทธิ์ทั้งแบบชำระเงิน(ยิงแอด)และแบบไม่ชำระเงิน(ฟรี)

ข้อแตกต่างระหว่าง SEO และ SEM ในทางเทคนิคแล้ว ทั้งสองไม่ได้แตกต่างกัน กล่าวคือ SEO ครึ่งหนึ่งมักเป็น SEM

SEO = เพิ่มปริมาณการเข้าชมจากเครื่องมือค้นหาโดยธรรมชาติแบบไม่เสียเงิน
SEM = กระตุ้นการเข้าชมโดยธรรมชาติซึ่งชำระเงินค่าโฆษณาจากเครื่องมือค้นหา

คุณอาจสับสนเล็กน้อย เนื่องจากหลายๆ ธุรกิจใช้ SEM สลับกับ PPC ดังนั้น ให้คิดว่า SEM คือด้านหน้าของเหรียญบาทที่ PPC คือด้านหลังของเหรียญนั้น

PPC = Pay-Per-Click คือ หลักการคิดค่าโฆษณาที่ถูกเรียกเก็บเงินทุกครั้งเมื่อมีการคลิกชิ้นงานโฆษณาต่อหนึ่งครั้ง

โดยพื้นฐานแล้ว ผู้ลงโฆษณาจะเสนอราคาสำหรับคีย์เวิร์ด(Keyword) ซึ่งเป็นคำหลักหรือวลีเฉพาะเจาะจงที่พวกเขาต้องการให้โฆษณาของตนปรากฏในผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา ซึ่งเมื่อผู้ใช้ค้นหาคำหลักหรือวลีคำใดคำหนึ่ง โฆษณาของผู้ลงโฆษณาจะปรากฏในผลลัพธ์อันดับต้นๆของเครื่องมือค้นหา(Search Engine)นั้นๆ

ความสำคัญของ SEO ต่อธุรกิจ

SEO เป็นช่องทางการตลาดออนไลน์ที่สำคัญมากที่สุด เนื่องจากการเข้าชมเว็บไซต์โดยธรรมชาติ(Organic Search) ถือเป็น 53% ของการเข้าชมเว็บไซต์ทั้งหมดโดยเฉลี่ย

ทำให้ บริษัท SEO ทั่วโลกถูกคาดว่าจะมีมูลค่าถึง 122.11 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2571 เพื่อขับเคลื่อนผลลัพธ์ทางธุรกิจสำหรับแบรนด์ ธุรกิจ และองค์กรทุกขนาด

เมื่อใดก็ตามที่ผู้คนต้องการไปที่ไหนสักแห่ง ทำอะไรสักอย่าง ผู้คนทั่วไปหรือกลุ่มลูกค้ามักจะเริ่มค้นหาข้อมูล เสปค รีวิว หรือเปรียบเทียบซื้อผลิตภัณฑ์/บริการ ซึ่งเริ่มต้นด้วยการค้นหาผ่านเครื่องมือค้นหาอัจริยะด้วยตนเองผ่าน Google เป็นหลักเพื่อหลีกเลี่ยงการแอบแฝงโฆษณาภายในแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าออนไลน์(E-Commerce)ทั่วไป

แต่อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันการค้นหาของผู้คนได้กระจัดกระจายตามแพลตฟอร์มต่าง ๆ อย่างไม่น่าเชื่อ ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลบนเครื่องมือค้นบนเว็บแบบดั้งเดิม (เช่น Google, Microsoft Bing) ไปจนถึงแพลตฟอร์มโซเชียล (เช่น YouTube, TikTok) หรือเว็บไซต์ของผู้ค้าปลีก (เช่น Shopee Lazada) เป็นต้น

มีการค้นหาเกิดขึ้นคิดเป็นล้านล้านครั้งทุกปี การค้นหามักเป็นแหล่งที่มาหลักของการเข้าชมเว็บไซต์ ซึ่งทำให้ธุรกิจำเป็นต้อง “Search Engine Friendly” หรือเป็นมิตรกับเครื่องมือค้นหาภายใต้มาตรฐานเดียวกัน แม้จะอยู่บนแพลตฟอร์มใดๆ ที่แตกต่างกัน และเมื่อคุณทำสำเร็จ SEO จะส่งผลให้ธุรกิจได้รับการมองเห็นที่มากยิ่งขึ้นซึ่งส่งผลกระทบต่อกำไรและยอดขายได้อย่างมีนัยยะสำคัญ

หากแต่ SEO มีการแข่งขันที่ค่อนข้างสูงบนหน้าค้นหา(SERPs) ซึ่งในหน้าค้นหา(SERPs) จะถูกจำแนกได้หลายประเภทตามการแสดงผลบนหน้าค้นหานั้นๆ ตาม Algorithm ของ Seach Engine ซึ่งไม่นับรวมคู่แข่งที่ใช้การโฆษณาแบบ PPC ร่วมด้วย อันได้แก่

Knowledge panels (แผงความรู้)
Featured snippets (ข้อมูลแนะนำ)
Maps (แผนที่)
Carousels Images (รูปภาพ)
Videos (วีดีโอ)
News (ข่าวสาร)
People Also Ask (คำถามแนะนำ)

อีกเหตุผลหนึ่งที่ SEO มีความสำคัญต่อแบรนด์และธุรกิจ เนื่องจากงาน SEO ที่ดีนั้นแตกต่างจากการโฆษณาช่องทางการตลาดอื่นๆ ตรงที่ความยั่งยืน เมื่อแคมเปญโฆษณาที่เสียค่าใช้จ่ายสิ้นสุดลง การเข้าชมก็สิ้นสุดลงเช่นกัน การเข้าชมจากการเข้าชมโฆษณาบนโซเชียลมีเดียจึงไม่สมประโยชน์และไม่น่าเชื่อถือมากที่สุด ทำให้ปัจจุบันหากคุณจะเริ่มธุรกิจโดยพึ่งพาแค่แคมเปญโฆษณาบนโซเชียลมีเดียเป็นเรื่องที่อัตราต่อธุรกิจในระยะยาว

ประเภทการทำ SEO

การรับทำ SEO มี 3 ประเภทหลัก ได้แก่

1. Technical SEO การเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาโดยใช้เทคนิควิศวกรรมด้านเว็บไซต์
2. On-site SEO การปรับเนื้อหาบนเว็บไซต์ให้เหมาะสมสำหรับผู้ใช้และเครื่องมือค้นหา
3. Off-site SEO การสร้างความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ (เช่น รายชื่อทีมงาน ผลงานที่ผ่านมา ค่านิยม วิสัยทัศน์ สโลแกน  สี CI ธุรกิจ) ซึ่งสิ่งต่าง ๆ นี้จะช่วยเพิ่มการรับรู้และการเข้าถึงแบรนด์ในท้ายที่สุด เช่น ผลงานและความน่าเชื่อถือของธุรกิจทำให้ผู้ชมเว็บไซต์ตัดสินใจจ้างบริการหรือเข้าซื้อสินค้า

คุณสามารถควบคุมเนื้อหาและเพิ่มประสิทธิภาพทางเทคนิคของเว็บไซต์ธุรกิจได้ 100% หากแต่มีข้อพึงระวังบางประการจากปัจจัยภายนอกเว็บไซต์ เช่น คุณไม่สามารถควบคุมลิงก์(Blacklink)จากเว็บไซต์อื่นได้หากแพลตฟอร์มที่คุณได้รับลิงก์ต้องปิดตัวลงหรือทำการเปลี่ยนแปลงเว็บไซต์ครั้งใหญ่ ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญของการทำ SEO ระดับมืออาชีพ

เราแนะนำให้จินตนาการว่า SEO คือ ทีมกีฬาสโมสรหนึ่งที่คุณต้องมีทั้งแผนการรุกและแผนการป้องกันที่แข็งแกร่งจึงจะชนะเกมส์ได้ และคุณยังต้องการแฟนๆ (หรือที่เรียกว่าผู้ชม) เข้าช่วยเสริมทัพด้วย คิดซะว่าการเพิ่มประสิทธิภาพทางเทคนิค(Technical SEO)เป็นแผนป้องกันของคุณ และการเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหา(On-site SEO)เป็นแผนโจมตี และการเพิ่มประสิทธิภาพภายนอกเว็บไซต์(Off-site SEO)เป็นวิธีการดึงดูด มีส่วนร่วม และแผนการรักษาแฟนคลับของสโมสรคุณ ทั้งหมดนี้จะทำให้คุณเข้าใจภาพรวมของ SEO ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

SEO ในทางเทคนิค

Technical SEO หรือ การเพิ่มประสิทธิภาพทางเทคนิคของเว็บไซต์ถือเป็นสิ่งสำคัญและเป็นพื้นฐานสำหรับความสำเร็จของ SEO แคมเปญ

เริ่มต้นด้วยโครงสร้างเว็บไซต์ที่ดี ซึ่งจำเป็นที่เว็บไซต์ต้องสามารถรวบรวมข้อมูลและจัดทำดัชนีโดยเครื่องมือค้นหาได้ง่าย กล่าวคือ ทำทุกวิธีการให้เว็บไซต์ใดๆก็ตามสามารถรวบรวมข้อมูลได้จากระบบของเครื่องมือค้นหา

หากคุณต้องการทำให้เครื่องมือค้นหาค้นพบและเข้าถึงเนื้อหาทั้งหมดบนหน้าเว็บของได้อย่างง่าย (เช่น ข้อความ รูปภาพ วิดีโอ) การจัดวางลิงก์ URL, เมนู และลิงก์ภายในเว็บไซต์ ถือเป็นองค์ประกอบทางเทคนิคที่สำคัญ

ประสบการณ์ผู้ใช้ เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญของการเพิ่มประสิทธิภาพทางเทคนิคอีกด้วย เครื่องมือค้นหายอดนิยมอย่าง Google ให้ความสำคัญของหน้าเว็บที่โหลดได้รวดเร็วและมอบประสบการณ์ UX UI ที่ดีแก่ผู้เยี่ยมชม

องค์ประกอบอื่น ๆ เช่น Core Web Vitals, ความเข้ากันได้กับเว็บไซต์มือถือ, HTTPS และการหลีกเลี่ยงโฆษณาคั่นระหว่างหน้าเว็บไซต์ที่รบกวนผู้เข้า ล้วนมีความสำคัญใน SEO ทางเทคนิคทั้งสิ้น

การเพิ่มประสิทธิภาพทางเทคนิคที่สำคัญอีกอย่างคือ โค้ดข้อมูลจำพวกที่มีโครงสร้าง(schema)สามารถช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาของคุณได้ดียิ่งขึ้น และปรับปรุงรูปลักษณ์เนื้อหาที่คุณนำเข้าในหน้าผลการค้นหา

นอกจากนี้ บริการเว็บโฮสติ้ง, CMS(ระบบจัดการเนื้อหา) และระบบความปลอดภัยของเว็บไซต์ ต่างก็มีบทบาทการทำ SEO เชิงเทคนิคที่จำเป็น

SEO ในทางเนื้อหา

On-site SEO คือ การเพิ่มเนื้อหาบนเว็บไซต์ให้เหมาะสมสำหรับกลุ่มเป้าหมายหลัก 2 กลุ่ม ได้แก่ 1.ผู้เข้าชม และ 2.เครื่องมือค้นหา กล่าวคือ คุณจำเป็นต้องปรับเนื้อหา(Content) ให้เหมาะสมและอ่านง่ายให้ผู้ชมของคุณมองเห็น (สิ่งที่อยู่จริงบนหน้า) และให้เครื่องมือค้นหาเห็น(โค้ด)ที่จัดเรียงเพื่อรวมรวบข้อมูลได้ง่ายอีกด้วย

เป้าหมายสำคัญของเนื้อหา(Content) คือการเผยแพร่เนื้อหาที่เป็นประโยชน์และมีคุณภาพสูง ซึ่งถือเป็นมาตรการคัดกรองของ Search Engine Algorithms ในการจัดอันดับ ซึ่งเว็บไซต์จะต้องมีความเข้าใจในตัวสินค้าหรือธุรกิจที่ต้องการนำเสนอให้ถูกต้องผ่านทางหน้าค้นหา

ปัจจัยในการเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาที่เราแนะนำ ได้แก่

เนื้อหาครอบคลุมหัวข้อที่เกี่ยวข้องจากประสบการณ์หรือความเชี่ยวชาญ
มีคำหลัก(Keyword)ที่ผู้คนจะใช้เพื่อค้นหาเนื้อหา
เนื้อหามีความเป็นเอกลักษณ์หรือเป็นต้นฉบับ
ไม่มีข้อผิดพลาดทางไวยากรณ์และการสะกดคำ
ข้อมูลมีความทันสมัยและมีความถูกต้อง
มีสื่อมัลติมีเดีย (เช่น รูปภาพ วิดีโอ)
เนื้อหาครบถ้วนและดีกว่าคู่แข่งบน SERP
ผู้ชมสามารถอ่านได้ง่าย  มีโครงสร้างเนื้อหาเพื่อให้ผู้คนเข้าใจข้อมูลที่คุณเผยแพร่ได้ง่าย (เช่น หัวข้อย่อย ความยาวย่อหน้า ใช้ตัวหนา/ตัวเอียง รายการเรียงลำดับ/ไม่เรียงลำดับ ฯลฯ)

สำหรับเครื่องมือค้นหา เนื้อหาสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้โดย

ติดแท็กชื่อเรื่อง (Title Tag)
มีเกริ่นนำ (คำอธิบาย Meta)
ติดแท็กส่วนหัวข้อ (H1-H6)
เพิ่มข้อความแสดงแทนรูปภาพ (Alt Tag)
มีข้อมูลจำเพาะสำหรับโซเชียลการ์ด (Meta Box Socail)

SEO กับปัจจัยภายนอก

หากจะกล่าวถึง Off-site SEO ปัจจัยภายนอกบางสิ่งของการทำ Off-site อาจดูไม่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์โดยตรงหากแต่เนื้อหาและเทคนิคที่สอดคล้องกับเนื้อหา สามารถมีส่วนช่วยให้การทำ SEO ประสบความสำเร็จในทางอ้อมได้ อาธิ เช่น

การสร้างลิงก์เชื่อมโยง(Link building) คือส่วนช่วยสำคัญในการทำ Off-site SEO มากที่สุด เช่น เนื้อหาการจัดอันดับสินค้าและบริการที่ดีที่สุด ยอดการเข้าชมจากเนื้อหาจัดอันดับจากเว็บไซต์ภายนอกจำนวนมากจะส่งลิงก์ไปยังเว็บไซต์ของคุณ ถือเป็นการให้การรับรองที่ส่งถึงกัน ยิ่งเว็บไซต์นั้น ๆ ที่มีความน่าเชื่อถือสูง คุณภาพของลิงก์จะมากกว่าปริมาณลิงก์เสมอ ซึ่งลิงก์คุณภาพจำนวนมากคือเป้าหมายที่จะทำให้การตลาดแบบ SEO ประสบความสำเร็จ

คุณจะได้รับลิงค์เหล่านี้ได้อย่างไร?  นี่คือมีวิธีการเพิ่มลิงก์เชื่อมโยงเว็บไซต์ที่เราแนะนำ

สร้างตัวตนของธุรกิจแบรนด์: สร้างภาพจำที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มการรับรู้และชื่อเสียงของธุรกิจ จากนั้นการสร้างลิงก์เชื่อมโยง(Link building)จะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ
บริการ PR เว็บไซต์: จ้างการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ได้รับลิงก์จากเว็บไซต์ข่าวหรือบทความที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจคุณ
สร้างเนื้อหาที่เป็นกระแส: รูปแบบที่ได้รับความนิยม ได้แก่ การสร้างวิดีโอ ทำ ebook งานศึกษาวิจัย คลิปพอดแคสต์ (หรือการเป็นแขกรับเชิญในพอดแคสต์ใดๆ ) และการใช้ Guest Blogging หรือ Guest Post ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับธุรกิจบนเว็บไซต์ของคุณ
โพสต์บนโซเชียลมีเดีย: การเผยแพร่เนื้อหาหรือบทความที่จัดทำในเว็บไซต์ลงบนช่องทางโซเชียลมีเดียยอดนิยม
เปิดระบบให้คะแนนและรีวิว: การรับเสียงติชมและคำแนนจากผู้เยี่ยมทั้งภายในและนอกเว็บไซต์โดยกล่าวถึงธุรกิจของคุณ

โดยทุกอย่างที่ธุรกิจของคุณกำลังทำมีความสำคัญอย่างยิ่งในระยะยาว ธุรกิจและแบรนด์ของคุณถูกค้นพบในทุกที่ที่ผู้คนค้นหา อย่างไรก็ตาม ปัจจบันบางธุรกิจจึงพยายามเปลี่ยนชื่อธุรกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกลไกค้นหา โดยให้ชื่อของธุรกิจเหมาะสมสำหรับกการค้นหาในทุกที่ เช่น ร้านข้าวมันไก่ใกล้ฉัน ร้านอาหารกรุงเทพ เป็นต้น

SEO สำหรับเว็บไซต์ขั้นสูง

การเพิ่มประสิทธิภาพด้านการค้นหา SEO ยังมีประเภทย่อยอยู่อีก 5 ประเภทด้วยกัน ตามแต่ละเว็บไซต์ที่มีระบบพิเศษเหล่านี้ทำให้การทำ SEO แตกต่างจากรูปแบบทั่วไป ซึ่งมีคุณสมบัติจำเพาะที่ต้องใช้กลยุทธ์พิเศษและพบข้อจำกัดที่ท้าทายที่แตกต่างกัน

การทำ SEO กับเว็บไซต์พิเศษ 5 ประเภท ได้แก่

1. SEO เว็บไซต์ร้านค้าปลีก จำเป็นที่จะต้องจัดทำ SEO ในหน้าเว็บไซต์เพิ่มเติมจำนวนมาก ได้แก่ การเพิ่มประสิทธิภาพในหน้าหมวดหมู่ หน้าแสดงสินค้า หน้าตัวเลือกสเปคสินค้า โครงสร้างการเชื่อมโยงลิงก์ภายใน รูปภาพสินค้า บทวิจารณ์รีวิวสินค้า สคีมาเฉพาะ และอื่นๆ
2. SEO เว็บไซต์องค์กร ถือเป็นการทำ SEO ระดับสูง โดยจะมีระบบจัดการกับเว็บไซต์แบบหลายเว็บไซต์/แบรนด์ย่อย ที่มีหน้าเว็บไซต์(Sub-Page)มากกว่า 1 ล้านเพจ เช่น Wix, LnwShop ซึ่งขึ้นอยู่กับขนาดเว็บไซต์ภายในขององค์กร (โดยทั่วไปคือเว็บไซต์ที่สร้างรายได้นับล้านหรือพันล้านต่อปี)
3. SEO เว็บหลายภาษา สำหรับเว็บไซต์ธุรกิจระหว่างประเทศในระดับโลก จึงต้องมีการทำ SEO สำหรับเว็บไซต์ที่มีหลายภูมิภาคหรือหลายภาษา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับเครื่องมือค้นหาระหว่างประเทศ เช่น Baidu หรือ Bing เป็นต้น
4. Local SEO เป้าหมายคือการเพิ่มประสิทธิของภาพเว็บไซต์เพื่อให้มองเห็นผลลัพธ์ในเครื่องมือค้นหาทั่วไประดับในท้องถิ่นตามพื้นที่อยู่ของผู้ค้นหา โดยมีการจัดทำรับรีวิว และ Longtail Keyword ที่จำเป็นจำนวนมาก
5. SEO เว็บข่าว การทำ SEO สำหรับเผยแพร่ข่าวสาร ความรวดเร็วถือเป็นความสำคัญสูงสุดในธุรกิจเว็บไซต์ประเภทนี้ ซึ่งมีความท้าทายด้านการจัดทำดัชนีของ Google ให้เร็วที่สุดและปรากฏเนื้อหาข่าวในที่ต่างๆ เช่น Google Discover เรื่องเด่นของ Google และ Google News ผู้รับทำSEO จึงจำเป็นต้องเข้าใจแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับเพย์วอลล์ หน้าหัวข้อ ข้อมูลที่มีโครงสร้างเฉพาะข่าวสาร และอื่นๆ

SEO ทำงานอย่างไร?

หากคุณพบหน้านี้ผ่านการค้นหาของ Google คุณน่าจะค้นหา Google ด้วยคำว่า [seo คืออะไร] หรือ [seo]

คู่มือ SEO นี้เผยแพร่บน Sixtygram ซึ่งเป็นเว็บไซต์บริษัทการตลาดออนไลน์ที่เชื่อถือได้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในหัวข้อ SEO (เราได้ติดตามการเปลี่ยนแปลง SEO ทั้งหมดทั้งเล็กและใหญ่ตั้งแต่ปี 2549)

ด้วยข้อมูลที่เรารวบรวม จะช่วยให้คู่มือนี้ได้รับความน่าเชื่อถือจากเครื่องมือค้นหา ซึ่งจะช่วยให้คู่มือนี้อยู่ในอันดับที่ 1 บนหน้าค้นหาเสมอ ซึ่งบริษัทการตลาดของเราได้รับชื่อเสียงในแง่บวกเสมอมา งสมควรได้รับการจัดอันดับเมื่อมีผู้ค้นหาเรื่องที่เกี่ยวข้องในหัวข้อ SEO

ซึ่งหากมองดูเรื่อง SEO อย่างรอบด้าน SEO คือการผสมผสานระหว่างตัวแปรดังต่อไปนี้เสมอ

ทีมงาน: ผู้จัดทำหรือทีมที่รับผิดชอบในการทำ SEO ในเชิงกลยุทธ์ การตลาด ซึ่งปฏิบัติงานจนเสร็จสมบูรณ์
กระบวนการ: การดำเนินการผ่านกระบวนการที่ถูกต้องเพื่อทำให้งานมีประสิทธิสูงสุด
เทคโนโลยี: แพลตฟอร์มและเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลด้านการค้นหา
ผลงาน: ผลสรุปของงานที่เห็นได้เป็นรูปธรรมทางสถิติ หรือ SEO Report ที่ชัดเจน
ปัจจัยร่วมที่ทำให้การทำ SEO สำเร็จ: คือองค์ความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมในการทำ SEO ระดับสูง

โดยเมื่อนำปัจจัยสำคัญมาพิจารณาร่วมกัน จะทำให้ 6 หลักการทำงานของ SEO เห็นผลได้ดีที่สุด

1. ทำความเข้าใจวิธีที่ Search Engine ทำงาน

อธิบายให้เข้าใจได้ง่ายก็คือ หากคุณต้องการให้ผู้คนค้นพบธุรกิจของคุณเจอผ่านการค้นหา บนแพลตฟอร์มใดๆ ก็ตาม คุณจะต้องเข้าใจกระบวนการทางเทคนิคที่อยู่เบื้องหลัง Search Engine เสียก่อน จากนั้นตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้ให้ “ปัจจัยที่ถูกต้อง” แก่เครื่องมือค้นหาครบถ้วนหรือไม่

หลักการทำงานของระบบค้นหาโดยทั่วไป โดยใช้ Google จะถูกแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน

  • รวบรวมข้อมูล(Crawling): เครื่องมือค้นหา(Search Engine)จะมีโปรแกรมรวบรวมข้อมูลเพื่อค้นหาหน้าเว็บโดยไต่ไปตามโครงสร้างลิงก์ทั้งหมดภายในเว็บไซต์ที่พบร่วมกับการอ่านแผนผังเว็บไซต์(Sitemaps)ที่คุณจัดทำ
  • อ่านข้อมูล(Rendering): โปรแกรมค้นหาจะสร้างรูปแบบหน้าเว็บที่เข้าใจได้เองโดยใช้ข้อมูลจาก HTML, JavaScript และ CSS ซึ่งคุณเขียนขึ้นมาในฐานข้อมูลของเว็บไซต์ที่เผยแพร่
  • เริ่มจัดทำดัชนี(Indexing): โปรแกรมค้นหาจะวิเคราะห์เนื้อหาและข้อมูลด้าน SEO เช่น Title และ Meta Description ของหน้าที่ค้นพบและเพิ่มลงในฐานข้อมูลหลัก (ไม่มีการรับประกันว่าทุกหน้าในเว็บไซต์จะได้รับการจัดทำดัชนี หากแต่สามารถร้องขอการจัดทำดัชนีได้เป็นการเฉพาะ)
  • จัดอันดับ(Ranking): อัลกอริธึมที่ซับซ้อนและเป็นความลับของเครื่องมือค้นหา(Search Engine)จะพิจารณาปัจจัยด้าน SEO ต่างๆ เพื่อพิจารณาว่าหน้าเว็บมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาและมีคุณภาพสูงพอที่จะแสดงในอันดับใด ๆ เมื่อผู้ค้นหาป้อนคำค้นหา

อย่างไรก็ตาม การเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาด้าน SEO ของ Google นั้นแตกต่างจากการเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาตามคีย์เวิร์ดกับแพลตฟอร์มอื่นๆ เช่น Facebook Tiktok Twitter(X) หรือ YouTube ค่อนข้างมาก

โดย Facebook ซึ่งถือเป็นโซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก จะแสดงผลการค้นหาตามถ้อยคำโดยอาศัย ปัจจัยการมีส่วนร่วมของผู้ใช้(User)เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น การกดถูกใจ(Like) แชร์(Share) แสดงความคิดเห็น(Comment) แทนการจัดอันดับ(Ranking)ผลการค้นหาตามเนื้อหาและคำเชื่อมโยงที่เกี่ยวข้องเช่นเดียวกับ Google Seach Engine

2. การวิเคราะห์ข้อมูล

การวิเคราะห์ข้อมูลถือเป็นส่วนสำคัญในการทำ SEO โดยการวิเคราะห์ข้อมูลตามปัจจัยดังต่อไปนี้ จะทำให้คุณสามารถทำ SEO ได้ถูกต้องและเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

  • ผู้ชมคือใคร?  สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจกลุ่มเป้าหมายหรือตลาดในธุรกิจของคุณ พวกเขาเป็นใคร (เช่น ข้อมูลประชากรและแบบสอบถามทางจิตวิทยา) ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย รวมไปถึงคำตอบของคำถามที่คุณสามารถมอบให้กลุ่มผู้ชมจำนวนมากผ่านเว็บไซต์ได้
  • จะถูกค้นหาด้วยถ้อยคำใด?  การวิเคราะห์คำหลัก(Keyword) จะช่วยให้คุณรวบรวมคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง(Relate Keyword) ที่จำเป็นต่อธุรกิจได้ เมื่อผู้คนพบเห็นหน้าเว็บของคุณ ที่สำคัญที่สุด Keyword ที่ดีจะทำให้คุณทราบได้ว่ามีการแข่งขันในธุรกิจเดียวกันมากน้อยเพียงใด เพื่อจัดทำแผน SEO อย่างแม่นยำ
  • คู่แข่งคือใคร? ปัจจัยสำคัญคือคุณต้องทราบว่าคู่แข่งทางธุรกิจกำลังทำอะไร และเคลื่อนไหวในแคมเปญใดเพื่อเป้าหมายใดอยู่ ค้นพบและวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของคู่แข่ง เริ่มต้นอย่างง่ายโดยสังเกตว่าเว็บไซต์คู่แขางกำลังเผยแพร่บทความเนื้อหาใดอยู่
  • กำจัดจุดอ่อน? การตรวจสอบสุขภาพเว็บไซต์ด้วย SEO สามารถแสดงทั้งโอกาสและปัญหาบนเว็บไซต์ที่ขัดขวางความสำเร็จในการจัดอันดับการค้นหา(Ranking) ดังนั้น จงตรวจสอบและวิเคราะห์ SEO ด้านเทคนิค ด้านเนื้อหา ด้านลิงก์ภายนอก และจัดทำเว็บไซต์ให้เป็นไปตามมาตรฐานของ E-E-A-T อยู่เสมอ
  • วิเคราะห์ SERP ธุรกิจให้แม่นยำ?  เข้าใจจุดประสงค์ในการจัดทำเนื้อหาเพื่อการค้นหาสำหรับข้อความที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ เช่น หน้าค้นหาSERPใน Keyword ของคุณเป็นเชิงพาณิชย์ เชิงข้อมูล หรือการนำทางไปสถานที่ของธุรกิจ จากนั้นสร้างเนื้อหาที่มีแนวโน้มที่จะได้รับการจัดอันดับที่ดีหรือได้รับพบเห็นที่แม่นยำและถูกต้องมากขึ้น

3. วางแผนกลยุทธิ์

กลยุทธ์ด้าน SEO คือแผนปฏิบัติการด้านการตลาดในระยะยาว คุณจำเป็นต้องตั้งเป้าหมาย และเริ่มวางแผนว่าคุณจะบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้อย่างไร

ให้มองว่าว่า แผนกลยุทธิ์ SEO ของคุณเป็นแผนที่สำหรับการเดินทางไกล เส้นทางที่คุณใช้จะปรับเปลี่ยนและพัฒนาไปตามกาลเวลา แต่จุดหมายปลายทางควรชัดเจนและไม่เปลี่ยนแปลง

ทรัพยากรทางการตลาดเพื่อทำแผน SEO เช่น

  • ใช้เครื่องมือเชิงหลักคิดทางการตลาด เช่น OKRs, SMART
  • จัดทำการวัดและการรายงานผล KPI โดยใช้ตัวชี้วัดที่ชัดเจน
  • ตัดสินใจว่าจะสร้างและดำเนินแคมเปญ SEO อย่างไร (แบบธรรมชาติ โฆษณา หรือผสมผสาน)
  • ประสานงานและปรึกษากับผู้มีส่วนได้ส่วนทางธุรกิจ
  • เลือกใช้เครื่องมือ/เทคโนโลยีที่คุณทำความเข้าใจได้ง่ายและถนัด
  • เริ่มการจ้าง ฝึกอบรม และจัดโครงสร้างทีม SEO
  • ตั้งงบประมาณ ระยะเวลา และผลกำไรที่คาดว่าจะได้รับจากแคมเปญ
  • จัดทำเอกสารคู่มือแผนกลยุทธ์และกระบวนการให้เป็นลายลักอักษรณ์

4. ลงมือทำ

เมื่อการวางแผนกลยุทธิ์เสร็จสิ้น ก็ถึงเวลาเปลี่ยนแนวคิดให้กลายเป็นงานปฏิบัติ กล่าวคือ

  • เริ่มสร้างเนื้อหาใหม่ ปรึกษาและจ่ายงานแก่ทีมเนื้อหา(Content)ของคุณเกี่ยวกับเนื้อหาที่ต้องการสร้าง
  • ให้คำแนะนำโดยปรับปรุงหน้าเว็บไซต์ที่มีอยู่ รวมถึงการอัปเดตและปรับปรุงเนื้อหา การเพิ่มลิงก์เชื่อมโยง ตามหลักการ On Site SEO
  • ลบเนื้อหาเก่าที่ล้าสมัยหรือคุณภาพต่ำ วิเคราะห์หัวข้อของเนื้อหาที่ไม่ได้รับการจัดอันดับที่ดี สร้างเนื้อหาที่กระตุ้นให้เกิดการเข้าชม Conversion หรือช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมาย SEO ที่ตั้งไว้

5. ติดตามผลและดูแลรักษาอันดับ

คุณจำเป็นต้องรู้เมื่อมีบางอย่างเกิดขึ้นบนเว็บไซต์ของคุณ การตรวจสอบเป็นประจำเป็นสิ่งสำคัญ

คุณจำเป็นต้องรู้ว่าหากปริมาณการเข้าชมของผู้ใช้เกิดการลดลง ตรวจสอบสถิติยอดผู้เข้าชม(Traffic)บนหน้าเว็บที่สำคัญ หน้าใดที่โหลดช้า ไม่ตอบสนอง หรือหน้าเว็บไซต์ที่ยังไม่อยู่ในการจัดทำดัชนี(Indexing) ติดตามและดูแลให้มั่นใจว่าหน้าเว็บไซต์ทั้งหมดของคุณใช้งานได้จริง ค้นหาลิงก์ที่เสียหาย บทความที่อันดับตก หรือปัญหาร้ายแรงอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในด้านเทคนิค คุณอาจใช้ตัวช่วยด้านสุขภาพเว็บไซต์ โดยติดตั้งปลักอินช่วยเหลือที่จำเป็นต่าง ๆ

6. สรุปและรายงานผลการปฏิบัติงาน

สิ่งที่เว็บไซต์จำนวนมากมักทำพลาด คือการไม่ได้วัดผล SEO ซึ่งเป็นปัญหาร้ายแรงเพราะคุณจะไม่สามารถปรับปรุงเว็บไซต์ได้ถูกจุด โดยในกระบวนการตัดสินใจโดยใช้ข้อมูล(SEO Data Analytics)คุณจะต้องใช้

  • เครื่องมือวัดสถิติภายในเว็บไซต์ โดยตั้งค่าและใช้เครื่องมือยอดนิยม อย่าง Google Analytics, Google Search Console และ Bing Webmaster Tools เพื่อรวบรวมข้อมูลประสิทธิภาพ
  • เครื่องมือวัดประสิทธิภาพ SEO เราแนะนำให้ใช้แพลตฟอร์มหรือชุดโปรแกรมเฉพาะด้าน SEO อย่าง Ahrefs Semrush หรือ Ubersuggest เพื่อติดตามการขยับขึ้นลงของอันดับ(Ranking)เว็บไซต์ ซึ่งคุณสามารถสร้างเครื่องมือของคุณเองเพื่อใช้งานภายในองค์กรได้เช่นกัน

หลังจากที่คุณรวบรวมข้อมูลทั้งด้านสถิติและอันดับแล้ว คุณจะต้องสรุปผลและจัดทำรายงานความคืบหน้าของแคมเปญ คุณสามารถสร้างรายงานโดยใช้ Google Data Studio(แนะนำ) หรือใช้ Excel Sheet ที่เรียบง่ายก็ย่อมได้

การรายงานประสิทธิภาพควรมีเนื้อหาที่บอกเล่าเรื่องราว แผนงาน ปัญหา และการดำเนินการตามช่วงเวลาที่กำหนดไวเ ซึ่งโดยทั่วไปรายงานสรุปผล SEO จะต้องเปรียบเทียบอันดับและสถิติเข้าชมระหว่างช่วงก่อนหน้าและหลังการทำ SEO (โดยทั่วไปจะเป็นเดือนต่อเดือน หรือ รายไตรมาส) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของเว็บไซต์และแผนทางธุรกิจอื่นๆ ที่ร่วมโครงการด้วย

ความจริงเกี่ยวกับ SEO

เรื่องจริงของ SEO ที่น้อยคนนักจะบอกแก่คุณ คือ SEO พัฒนาโดยไม่มีวันสิ้นสุด เครื่องมือค้นหา(Search Engine) เครื่องมือช่วยเหลือ พฤติกรรมผู้ใช้ และเว็บไซต์คู่แข่งของคุณจะพัฒนาอยู่เสมอ เว็บไซต์จะเปลี่ยนแปลงและอัพเกรดและพัง(ฮา) เมื่อเวลาผ่านไป ระบบภายในเว็บไซต์และเนื้อหาของคุณจะเริ่มเก่า ดังนั้น แผน SEO ของคุณควรปรับปรุงและมีประสิทธิภาพมากขึ้นในทุกวัน

เรียนรู้เรื่อง SEO เพิ่มเติม

เมื่อคุณเข้าใจเกี่ยวกับ SEO คืออะไรและวิธีการทำงานให้มีประสิทธิภาพแล้ว คุณจำเป็นต้องเรียนรู้เพิ่มเติมอย่างสม่ำเสมอ

การอ่าน ดู และฟัง ข่าวสารเกี่ยวกับ SEO ที่ใหม่ล่าสุด ทั้งในด้านกรณีศึกษา แนวปฏิบัติที่ดีที่สุด และการพัฒนาเชิงเทคนิค SEO อื่นๆ ควรกลายเป็นหนึ่งในกิจวัตรประจำวันของคุณที่ไม่ควรหยุดนิ่ง คุณควรลงทุนในการเข้าร่วมกิจกรรมสัมนาด้านเว็บไซต์อย่างน้อยหนึ่งหรือสองครั้งต่อปี

พฤติกรรมของผู้ค้นหามีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบอยู่ตลอดเวลา ซึ่งหมายความว่าอัลกอริทึมจะเปลี่ยนแปลงเสมอตามผู้ใช้(User base) เมื่อพฤติกรรมของคนผสมผสานกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง ChatGPT AI จึงเป็นเรื่องน่ากลัวหากคุณหยุดที่จะพัฒนาตนเอง ยิ่งถ้าหากคุณกลายเป็นนัก SEO มืออาชีพ

ต่อไปนี้ เป็นแหล่งข้อมูลและเทคนิคที่เราอยากแบ่งปันเพื่อช่วยให้คุณเติบโตไปในฐานะนัก SEO มืออาชีพ

แหล่งข้อมูล SEO จาก Sixtygram

Sixtygram เอเจนซี่ บริษัทด้านการตลาดออนไลน์ที่ให้บริการด้าน SEO มาจนถึงปี 2024 รวบรวมเรื่องราว ข่าวสารที่เขียนโดยกองบรรณาธิการที่ผ่านการตรวจข้อความมากกว่า 20 คน ได้พร้อมที่จะเผยแพร่บทความจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้วยเนื้อหาที่หลากหลายซึ่งมีเคล็ดลับ กลยุทธ์ แนวโน้ม และการวิเคราะห์แผน SEO ที่เป็นประโยชน์ให้แก่คุณ ซึ่งจัดเป็นหมวดหมู่ให้อ่านและศึกษาได้ง่ายขึ้น ดังนี้

  • การตั้งชื่อหัวข้อ SEO
  • เนื้อหา SEO ที่ถูกต้อง
  • SEO เว็บค้าปลีก
  • SEO ระดับองค์กร
  • SEO FACTOR – E-E-A-T
  • อัลกอริทึมของ Google
  • Google Seach Console
  • การสร้างลิงค์ที่ถูกต้อง
  • ข่าว SEO
  • เทคนิค SEO

แหล่งข้อมูล SEO จาก Google

  • Google Search Essentials คู่มือนี้ Google กล่าวถึงข้อกำหนดทางเทคนิค นโยบายสแปม และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับการสร้างเนื้อหาบนเว็บไซต์ทั่วไป
  • คู่มือเริ่มต้น SEO สำหรับมือใหม่ มองภาพรวมของพื้นฐาน SEO ตามแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดของ Google
  • หลักเกณฑ์ของผู้ประเมินคุณภาพการค้นหา(ENG) พบหลักเกณฑ์ที่ Google ให้ผู้ประเมินที่เป็นมนุษย์ประเมินคุณภาพของผลการค้นหาบนเว็บไซต์ โดยพิจารณาจากประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และความน่าเชื่อถือของเนื้อหาและเว็บไซต์
TAG ที่เกี่ยวข้อง:
admin
ผู้เขียน AMINTRA CHAIPAK

หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Sixtygram ดำรงต่ำแหน่งทั้ง CEO และนักการตลาดผู้เชื่อมั่นว่ากลยุทธ์ด้าน Digital Marketing จะไม่มีวันหยุดนิ่ง และจะปรับเปลี่ยในทุกๆวัน การแสวงหาความรู้เพื่อยอดต่อในธุรกิจจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด