AMINTRA

29 เมษายน 2024

4E Marketing กลยุทธ์การตลาดยุคใหม่ ที่มาแทนที่ 4P

สำหรับกลยุทธ์ทางการตลาดนอกจาก“4P” หรือ Product Price Place Promotion ซึ่งถือเป็นหลักการสำคัญในการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดให้ประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันพฤติกรรมของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่เทคโนโลยีก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้หลักการ 4P ดังกล่าวค่อยๆ ดูล้าสมัยและขาดประสิทธิภาพในการตอบโจทย์ของแบรนด์หรือธุรกิจต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดกลยุทธ์ใหม่ “4E” ขึ้นมาแทนที่ 4P และ 4C เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคปัจจุบันและตอบโจทย์การดำเนินธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น โดย 4E ประกอบไปด้วย Experience, Exchange, Everyplace และ Evangelism เป็นหลักการที่นักการตลาดและผู้ประกอบการจำเป็นต้องทำความเข้าใจเป็นอย่างดี เพราะนับวันจะมีความสำคัญและมีบทบาทต่อความสำเร็จทางธุรกิจมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะส่งผลให้สามารถแข่งขันในตลาดการค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

4E Marketing คือ

4E Marketing คือ

4E Marketing หรือบางครั้งเรียกว่า Experience Economy คือ แนวคิดการตลาดรูปแบบใหม่ที่มุ่งเน้นไปที่การสร้าง “ประสบการณ์” ให้กับลูกค้าเป็นสำคัญ แทนที่จะโฟกัสไปที่ผลิตภัณฑ์หรือบริการโดยตรงเหมือนแนวคิดการตลาดแบบดั้งเดิม องค์ประกอบสำคัญของ 4E Marketing มีดังนี้

  1. Experience เป็นการสร้างประสบการณ์ที่ดีและน่าประทับใจให้กับลูกค้า ผ่านการออกแบบผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น บรรจุภัณฑ์สวยงาม และการจัดกิจกรรมต่างๆ ที่ก่อให้เกิดความรู้สึกพิเศษในใจของลูกค้า
  2. Exchange เป็นการสร้างการแลกเปลี่ยนระหว่างแบรนด์และลูกค้า ไม่ใช่แค่การซื้อขายผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันผ่านช่องทางต่างๆ เช่น โซเชียลมีเดีย แอปพลิเคชัน เป็นต้น เพื่อให้เข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง
  3. Everyplace หมายถึงการทำให้แบรนด์หรือธุรกิจของคุณมีปรากฏการณ์อยู่ในทุกสถานที่ ทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ ไม่ว่าจะเป็นช่องทางออนไลน์ต่างๆ ร้านค้า สื่อโฆษณา เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้ง่ายและสร้างการรับรู้อย่างต่อเนื่อง
  4. Evangelism คือการสร้างให้ลูกค้ามีความรู้สึกผูกพันกับแบรนด์และกลายเป็นผู้สนับสนุนหรือผู้บอกต่อแบรนด์ เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคสมัยใหม่มักให้ความสำคัญกับประสบการณ์และคำบอกเล่าจากผู้อื่นมากกว่าการโฆษณาแบบเดิมๆ

4E Marketing เป็นกลยุทธ์ที่เน้นให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า มีปฏิสัมพันธ์และเข้าถึงลูกค้าได้อย่างทั่วถึง รวมถึงการสร้างความผูกพันเพื่อให้ลูกค้ากลายเป็นผู้สนับสนุนแบรนด์ในที่สุด ซึ่งแตกต่างจากแนวคิดการตลาดแบบดั้งเดิมอย่างสิ้นเชิง

เปรียบเทียบการตลาด 4P กับ 4E

4P หรือ Marketing Mix เป็นหลักการพื้นฐานทางการตลาดที่เราคุ้นเคยกันดี ประกอบด้วย

  1. Product – ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่จะนำเสนอขาย
  2. Price – ราคาที่เหมาะสมกับคุณภาพและกลุ่มเป้าหมาย
  3. Place – ช่องทางการจัดจำหน่ายเพื่อให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงลูกค้า
  4. Promotion – การส่งเสริมการตลาดเพื่อสร้างการรับรู้และกระตุ้นยอดขาย

หลักการ 4P มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ กำหนดราคา วางแผนช่องทางการจัดจำหน่าย และการโปรโมทเพื่อขายสินค้าให้ได้มากที่สุด ซึ่งเป็นมุมมองการทำการตลาดในรูปแบบเดิมๆ ขณะที่กลยุทธ์ 4E มีมุมมองที่แตกต่างออกไป มุ่งสู่การสร้างประสบการณ์และมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้ามากกว่าการโปรโมทเพียงอย่างเดียว เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว จะพบว่า 4E ได้มาแทนที่และครอบคลุมกว้างขวางกว่าแนวคิดการตลาดแบบเดิมค่อนข้างมาก

เปรียบเทียบการตลาด 4P กับ 4E
  1. Experience แทนที่ Product โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้าจากผลิตภัณฑ์หรือบริการ
  2. Exchange แทนที่ Price ช่วยให้เกิดการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าได้มากกว่าการโปรโมททางเดียว
  3. Everyplace แทนที่ Place ทำให้แบรนด์อยู่ทุกหนทุกแห่งผ่านช่องทางต่างๆ ครอบคลุมมากกว่าเพียงการกระจายสินค้าตามที่กำหนด
  4. Evangelism แทนที่ Promotion ก่อให้เกิดการสนับสนุนและบอกต่อมากกว่าการโฆษณาชักจูงให้ซื้อ

นอกจากนี้ เมื่อพูดถึง Price ในส่วนประสมทางการตลาด 4P ก็ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในกลยุทธ์ 4E การตั้งราคาที่เหมาะสมกับคุณค่าที่ลูกค้าจะได้รับเป็นสิ่งจำเป็น แต่ 4E เน้นการสร้างคุณค่าให้เกินราคามากกว่าแค่กำหนดราคาเพียงอย่างเดียว แม้ 4P และ 4E จะมีบางส่วนที่สอดคล้องกัน แต่ 4E มีแนวทางที่ทันสมัยและครอบคลุมกว้างขวางกว่ามาก เน้นสร้างประสบการณ์และพัฒนาปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคปัจจุบันได้ดีกว่า เหมาะสำหรับนำมาใช้เป็นกลยุทธ์การตลาดสำหรับธุรกิจในทุกรูปแบบ

    วิเคราะห์กลยุทธ์ 4E สำหรับธุรกิจของคุณ

    วิเคราะห์กลยุทธ์ 4E สำหรับธุรกิจของคุณ

    โดยรวมแล้ว การนำกลยุทธ์ 4E มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจของคุณนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและความยั่งยืนให้กับองค์กร เนื่องจากแนวคิดนี้ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่หันมาให้ความสำคัญกับประสบการณ์และมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์มากยิ่งขึ้น ดังนั้น การวิเคราะห์และนำกลยุทธ์ 4E มาปรับใช้กับธุรกิจของคุณอย่างเหมาะสมจึงมีความจำเป็น ซึ่งมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้

    กลยุทธ์ 4E สำหรับธุรกิจของคุณ

    1. Experience สิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างประสบการณ์ที่ดีและน่าประทับใจให้กับลูกค้าของคุณ เริ่มตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์หรือบริการให้มีเอกลักษณ์โดดเด่น หรูหรา สวยงาม เพื่อสร้างความรู้สึกพิเศษให้ลูกค้าเมื่อได้สัมผัส นอกจากนี้ ยังสามารถจัดกิจกรรมพิเศษ ประสบการณ์เสริม รวมถึงสร้างแคมเปญโฆษณาในรูปแบบที่แปลกใหม่เพื่อดึงดูดความสนใจและตอกย้ำประสบการณ์ที่โดดเด่น
    2. Exchange อย่าคิดว่าการทำธุรกิจคือการขายสินค้าและบริการของคุณให้ลูกค้าเท่านั้น แต่ให้คิดในแง่ของการแลกเปลี่ยนคุณค่าระหว่างแบรนด์กับลูกค้า คุณต้องมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างแท้จริง เข้าใจความต้องการและสร้างสิ่งที่ตอบโจทย์พวกเขาได้อย่างแม่นยำ หนึ่งในวิธีที่ดีคือการใช้โซเชียลมีเดียและแอปพลิเคชันต่างๆ เพื่อสื่อสารและรับฟังเสียงจากลูกค้า
    3. Everyplace ในยุคที่โลกออนไลน์และออฟไลน์มีการผสมผสานกันมากขึ้น การทำให้แบรนด์และธุรกิจของคุณมีปรากฏการณ์อยู่ทุกหนทุกแห่งจึงเป็นสิ่งสำคัญ ให้ความสำคัญกับการสร้างช่องทางออนไลน์ เช่น เว็บไซต์ อีคอมเมิร์ซ โซเชียลมีเดีย ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างประสบการณ์ที่ร้านค้าหรือสาขาต่างๆ ให้น่าประทับใจอีกด้วย เมื่อทำได้ดี ลูกค้าจะสามารถเข้าถึงและสัมผัสกับแบรนด์ได้ตลอดเวลา
    4. Evangelism เป้าหมายสูงสุดของกลยุทธ์ 4E คือการสร้างให้ลูกค้ามีความผูกพันและรักแบรนด์ของคุณอย่างแท้จริง จนกลายเป็นผู้สนับสนุนประกาศเสียงแทนคุณได้ ซึ่งในยุคสมัยที่ผู้บริโภคให้ความสนใจกับคำบอกเล่าและประสบการณ์ของผู้อื่นมากกว่าการโฆษณาตรงๆ การมีกลุ่มผู้สนับสนุนจึงมีคุณค่ามหาศาล คุณสามารถสร้างกระแสให้เกิดขึ้นผ่านกิจกรรมการมีส่วนร่วม แคมเปญออนไลน์ และการสื่อสารที่โดนใจ

    ด้วยสถิติที่น่าสนใจเหล่านี้ จะช่วยให้ธุรกิจตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างระบบ Lead Generation ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน

    ตัวอย่างกลยุทธ์ 4E Marketing

    1. ประสบการณ์ร้านกาแฟ Starbucks (Experience) Starbucks มุ่งสร้างประสบการณ์พิเศษให้ลูกค้าเมื่อมาใช้บริการ ร้านมีการออกแบบตกแต่งอย่างพิถีพิถัน มีกลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟ พนักงานคอยให้บริการอย่างเป็นกันเอง บรรยากาศน่านั่งจิบเครื่องดื่ม นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมดนตรีและศิลปะเสริมประสบการณ์อีกด้วย

    2. การสร้างปฏิสัมพันธ์ของ Nike (Exchange) Nike ไม่ได้แค่ขายรองเท้าและเสื้อผ้ากีฬาเท่านั้น แต่พวกเขาสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าผ่านหลายช่องทาง เช่น แอพพลิเคชั่น Nike+ ที่ช่วยตั้งเป้าหมายและบันทึกการออกกำลังกาย รวมถึงการใช้ Social Media เพื่อสื่อสารตอบโต้กับลูกค้าโดยตรง

    3. อิเกีย (IKEA) กระจายสาขาทั่วโลก (Everyplace) IKEA เป็นแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ที่สามารถพบเห็นได้ทั่วโลก พวกเขามีร้านค้าสาขากระจายอยู่ในหลายประเทศ รวมถึงศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์และเว็บไซต์ทำให้ลูกค้าเข้าถึงได้ง่าย

    4. การสร้างกระแสของ GoPro (Evangelism) GoPro เป็นผลิตภัณฑ์กล้องแอคชั่นคาเมร่า โดยพวกเขาจงใจส่งเสริมให้ลูกค้าบันทึกวิดีโอประสบการณ์สุดเร้าใจจากมุมมองที่แปลกใหม่และแชร์ลงโซเชียลมีเดีย ทำให้เกิดการบอกต่อและสร้างกระแสความนิยมในหมู่ผู้ใช้งานจริงอย่างแพร่หลาย

    5. ประสบการณ์เกมของ Activision Blizzard (Experience + Evangelism) บริษัทเกมยักษ์ใหญ่ เช่น Activision Blizzard นอกจากจะมุ่งพัฒนาเกมด้วยกราฟิกสวยงามและระบบเล่นที่สนุกแล้ว ยังมีกิจกรรมเสริมประสบการณ์ เช่น การแข่งขันอีสปอร์ต ทำให้ผู้เล่นได้รับประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้น และเกิดความผูกพันจนกลายเป็นกลุ่มนักบอกต่อขนานแท้

    TAG ที่เกี่ยวข้อง:
    admin
    ผู้เขียน AMINTRA CHAIPAK

    หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Sixtygram ดำรงต่ำแหน่งทั้ง CEO และนักการตลาดผู้เชื่อมั่นว่ากลยุทธ์ด้าน Digital Marketing จะไม่มีวันหยุดนิ่ง และจะปรับเปลี่ยในทุกๆวัน การแสวงหาความรู้เพื่อยอดต่อในธุรกิจจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด