อินโฟกราฟิก (Infographic) เป็นเครื่องมือสำคัญในการนำเสนอข้อมูลซับซ้อนให้เข้าใจง่าย มีการใช้แพร่หลายในวงการออกแบบกราฟิกมากว่า 15 ปี และได้กลายเป็นส่วนสำคัญของการสื่อสารในหลายบริบท ทั้งในห้องเรียน ที่ทำงาน และบนโลกออนไลน์ และด้วยความสามารถในการประมวลผลภาพของสมองมนุษย์ที่รวดเร็วกว่าข้อความถึง 60,000 เท่า อินโฟกราฟิกจึงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการดึงดูดความสนใจและสื่อสารข้อมูลสำคัญ
ดังนั้น ในบทความนี้ Sixtygram Agency จะพาคุณเจาะลึกถึงความหมาย รูปแบบ และเคล็ดลับในการสร้างอินโฟกราฟิกที่ทรงพลัง พร้อมแนะนำเครื่องมือและเคล็ดลับสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานด้านการออกแบบกันแบบจัดเต็ม
Infographic คืออะไร?
อินโฟกราฟิก(Infographic) คือการนำเสนอสื่อในรูปแบบภาพที่ผสมผสานระหว่างข้อมูล กราฟิก และตัวอักษร เพื่อสื่อสารแนวคิดที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่ายในเวลาอันรวดเร็ว โดยอาศัยองค์ประกอบทางภาพต่างๆ เช่น แผนภูมิ ไดอะแกรม สัญลักษณ์ และภาพประกอบที่น่าสนใจ
ความสำคัญของการใช้ Infographic

อินโฟกราฟิกเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การสื่อสารในยุคดิจิทัลง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการย่อข้อมูลจากรายงานยาวๆ ให้เห็นเป็นภาพที่เข้าใจได้ทันที หรือการอธิบายขั้นตอนที่ซับซ้อนให้เห็นเป็นภาพที่ชัดเจน ยิ่งมื่อต้องการสื่อสารเรื่องสำคัญให้คนสนใจ อินโฟกราฟิกก็เป็นตัวช่วยที่ดี เพราะภาพสวยๆ จะช่วยดึงดูดสายตาและทำให้จดจำได้ดีกว่าการอ่านตัวหนังสือล้วนๆ นี่จึงเป็นเหตุผลที่แบรนด์ต่างๆ ชอบใช้อินโฟกราฟิกในการเล่าเรื่องราวของตัวเองบนโซเชียลมีเดีย เพราะนอกจากจะดูน่าสนใจแล้ว ยังแชร์ต่อได้ง่ายด้วย

สำหรับในห้องเรียน อินโฟกราฟิกก็เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การเรียนการสอนสนุกขึ้น คุณครูสามารถใช้อินโฟกราฟิกอธิบายเรื่องยากๆ ให้นักเรียนเข้าใจได้ง่ายขึ้น ด้วยภาพที่สวยงามและน่าสนใจ ทำให้จำเนื้อหาได้นานและเรียนรู้ได้อย่างมีความสุข

ปัจจุบัน อินโฟกราฟิกถูกนำไปประยุกต์ใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งด้านการตลาด การให้คำปรึกษา ธุรกิจขนาดเล็ก หน่วยงานภาครัฐ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร และสถาบันการศึกษา โดยสามารถนำเสนอได้ทั้งในรูปแบบภาพนิ่งและวิดีโอ
ประเภทของ Infographic 9 แบบ ที่โดนใจกลุ่มเป้าหมาย
มาทำความรู้จักกับอินโฟกราฟิก 9 ประเภท ที่จะช่วยให้คุณเลือกใช้ได้อย่างตรงใจกลุ่มเป้าหมาย พร้อมตัวอย่างและเคล็ดลับการนำไปใช้ที่จะทำให้งานออกแบบของคุณโดดเด่นไม่ซ้ำใคร มาเริ่มกันเลย
1. อินโฟกราฟิกเพื่อให้ความรู้(Informational)


คิดง่ายๆ ว่าเป็นเหมือนการเอาบทความมาทำให้น่าอ่านขึ้นด้วยภาพ เหมาะมากสำหรับครูที่ต้องสอนเรื่องยากๆ นักโภชนาการที่อยากอธิบายเรื่องอาหาร 5 หมู่ ความรู้ทางธุรกิจ ความรู้ทางกฎหมาย หรือหมอที่ต้องให้ความรู้เรื่องสุขภาพ แค่จัดข้อมูลให้เป็นหมวดหมู่ เพิ่มภาพที่เข้าใจง่าย ก็จะช่วยให้เรื่องซับซ้อนกลายเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็เข้าใจได้ อ้างอิงจากงานวิจัยศึกษาของ MIT News พบว่า สมองมนุษย์ใช้เวลาประมวลผลรูปภาพได้ด้วยความเร็วเพียง 13 มิลลิวินาที และจดจำภาพได้ดีกว่าข้อความเกือบเท่าตัว
2. อินโฟกราฟิกแบบรายการ(List)

เคล็ดลับ ทิปส์(Tips) หรือรายการอะไรก็ตามที่ถูกทำให้น่าอ่านคือตัวช่วยที่ดีในการนำเสนอข้อมูลจำนวนมาก แทนที่จะใช้แค่ตัวหนังสือและบุลเล็ต ลองใช้ตัวเลขเรียงลำดับหรือไอคอนน่ารักๆ จัดวางแบบสร้างสรรค์ที่มีตัวลูกศรเชื่อมโยงระหว่างหัวข้อต่าง ๆ รับรองว่ารายการธรรมดาจะกลายเป็นเรื่องน่าสนใจทันที โดยการวิจัยจาก Nielsen NN Group – How Users Read Lists Online พบว่า ผู้อ่านออนไลน์ชอบเนื้อหาแบบรายการมากกว่าเนื้อหาแบบต่อเนื่อง โดยมีอัตราการอ่านจบสูงกว่าถึง 70%
3. อินโฟกราฟิกแบบขั้นตอน(Process)

ถ้าใครเคยทำอาหารตามสูตรออนไลน์ที่มีภาพประกอบทีละขั้น นั่นแหละคือตัวอย่างที่ดีของอินโฟกราฟิกแบบขั้นตอน เหมาะมากสำหรับการอธิบายวิธีทำอะไรสักอย่างให้เข้าใจง่าย ไม่ว่าจะเป็นวิธีสมัครบัตรเครดิต ขั้นตอนการลงทะเบียนเรียน หรือคู่มือประกอบเฟอร์นิเจอร์ แค่แบ่งเป็นขั้นๆ ใส่ภาพประกอบ เพิ่มลูกศรบอกทิศทาง รับรองว่าใครเห็นก็ทำตามได้ จากงานวิจัยหนึ่งพบว่าการใช้ภาพประกอบขั้นตอนช่วยเพิ่มความเข้าใจได้ถึง 323% เมื่อเทียบกับการใช้เพียงข้อความ
4. อินโฟกราฟิกเชิงเปรียบเทียบ(Comparison)

อยากให้ลูกค้าเห็นว่าแพ็กเกจของเราดีกว่าคู่แข่งยังไง? อยากเทียบให้เห็นข้อดีข้อเสียของสินค้าแต่ละรุ่น? แบ่งซ้าย-ขวาหรือบน-ล่าง ใช้สีแยกให้ชัด แล้วเน้นจุดเด่นที่อยากให้สะดุดตาด้วยสีที่โดดเด่น รับรองว่าเปรียบเทียบอะไรก็เห็นภาพ อ้างอิงจากบทความวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ SAGE Journals ที่พบว่า การเปรียบเทียบแบบภาพช่วยให้ผู้ชมตัดสินใจได้เร็วขึ้น 50% และแม่นยำขึ้น 25%
5. อินโฟกราฟิกแบบสถิติ(Statistical)

เมื่อไหร่ที่มีตัวเลขเยอะๆ ต้องนึกถึงอินโฟกราฟิกแบบนี้ เพราะจะช่วยแปลงตัวเลขน่าเบื่อให้กลายเป็นภาพที่น่าสนใจ เช่น ถ้าคุณเป็นนักการตลาดที่ต้องรายงานยอดขาย หรือนักวิจัยที่ต้องนำเสนอผลสำรวจ การใช้กราฟ แผนภูมิ หรือไอคอนที่ดึงดูดสายตาจะช่วยให้ข้อมูลของคุณโดดเด่นและจดจำง่าย ทั้งนี้การนำเสนอข้อมูลสถิติในรูปแบบอินโฟกราฟิกได้รับการแชร์บนโซเชียลมีเดียมากกว่าการนำเสนอแบบตัวเลขล้วนถึง 3 เท่า
6. อินโฟกราฟิกตามไทม์ไลน์เวลา(Timeline)

เหมาะที่สุดสำหรับการเล่าเรื่องราวที่มีพัฒนาการตามกาลเวลา ไม่ว่าจะเป็นประวัติบริษัท วิวัฒนาการของเทคโนโลยี หรือไทม์ไลน์โครงการ แค่วางเหตุการณ์สำคัญบนเส้นตรง เพิ่มรูปภาพหรือไอคอนเล็กๆ ก็จะช่วยให้เห็นภาพรวมของเรื่องราวได้ชัดเจน โดยการนำเสนอข้อมูลในรูปแบบไทม์ไลน์ช่วยให้ผู้ชมจดจำลำดับเหตุการณ์ได้ดีขึ้นถึง 80%
7. อินโฟกราฟิกแบบลำดับขั้น(Hierarchical)

ถ้าใครเคยเห็นภาพอินโฟแบบพีระมิด หรือภาพตามทฤษฎีมาสโลว์ นั่นแหละคือตัวอย่างที่ดี เหมาะมากสำหรับแสดงลำดับความสำคัญ โครงสร้างองค์กร หรือระดับต่างๆ ของอะไรสักอย่าง ยิ่งถ้าทำเป็นพีระมิดหรือแผนผังต้นไม้ยิ่งช่วยให้เข้าใจง่าย
8. อินโฟกราฟิกแบบแผนที่(Geographic)

ถ้างานเกี่ยวกับพื้นที่หรือทำเล นี่คือตัวเลือกที่ใช่ เช่น อยากแสดงความหนาแน่นของประชากรแต่ละจังหวัด การกระจายตัวของร้านค้า หรือพื้นที่ให้บริการ หรืองานที่ต้องวิเคราะห์พื้นที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์ แผนที่ความร้อนจะช่วยให้เห็นข้อมูลชัดเจนในพริบตา
9. อินโฟกราฟิกแบบเรซูเม่(Resume)

ยุคนี้การหางานแข่งขันสูง ประวัติการทำงานธรรมดาอาจไม่พอ ลองเปลี่ยนเรซูเม่ให้เป็นอินโฟกราฟิกดูบ้าง ใส่กราฟแสดงทักษะ ไอคอนสวยๆ และดีไซน์ที่สะท้อนตัวตน แม้จะไม่ได้มาแทนที่เรซูเม่แบบเดิมทั้งหมด แต่เป็นตัวเสริมที่ทำให้คุณโดดเด่นในสายตา HR แน่นอน อ้างอิงข้อมูลจาก บทความบน LinkedIn ของ Product London Design ที่รายงานว่า โปรไฟล์ที่มีการนำเสนอแบบอินโฟกราฟิกได้รับการดูมากกว่าโปรไฟล์ทั่วไปและมีโอกาสได้รับการติดต่อจากผู้จ้างงานสูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ
วิธีเริ่มสร้าง Infographic ด้วยขั้นตอนอย่างง่าย

1. การวางแผนและรวบรวมข้อมูล
การสร้าง Infographic ที่มีประสิทธิภาพจะต้องเริ่มต้นจากการวางแผนที่ดี คุณต้องเริ่มจากการกำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน โดยตั้งคำถามกับตัวเองว่าต้องการสื่อสารอะไร กลุ่มเป้าหมายคือใคร และต้องการให้ผู้ชมทำอะไรหลังจากดู Infographic ของคุณ การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้การรวบรวมและคัดกรองข้อมูลมีทิศทาง ในขั้นตอนนี้ คุณควรรวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง แล้วคัดกรองเฉพาะข้อมูลที่สำคัญและจำเป็นต่อการสื่อสารเป้าหมายของคุณ อย่าลืมตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและแหล่งที่มา เพราะความน่าเชื่อถือคือสิ่งสำคัญ
2. การสร้างโครงร่าง (Wireframe)
เมื่อมีข้อมูลพร้อมแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการสร้างโครงร่างหรือ Wireframe ซึ่งเปรียบเสมือนพิมพ์เขียวของ Infographic ของคุณ ในขั้นตอนนี้ คุณจะต้องจัดระเบียบข้อมูลทั้งหมดให้เป็นส่วนๆ และวางแผนว่าจะนำเสนอแต่ละส่วนอย่างไร เริ่มจากการวาดภาพคร่าวๆ บนกระดาษหรือใช้เครื่องมือดิจิทัล กำหนดพื้นที่สำหรับหัวข้อหลัก เนื้อหาย่อย กราฟิก และองค์ประกอบอื่นๆ การสร้างโครงร่างจะช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมและสามารถปรับแก้โครงสร้างได้ง่ายก่อนที่จะเริ่มการออกแบบจริง
3. การเลือกรูปแบบการนำเสนอ
การเลือกรูปแบบการนำเสนอเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก เพราะจะกำหนดโทนและบุคลิกของ Infographic ของคุณ เริ่มจากการเลือกธีมและสไตล์การออกแบบที่เหมาะสมกับเนื้อหาและกลุ่มเป้าหมาย จากนั้นกำหนดโทนสีหลัก 2-3 สีที่สื่อถึงแบรนด์หรือเนื้อหาของคุณ การเลือกฟอนต์ก็สำคัญไม่แพ้กัน ควรเลือกฟอนต์ที่อ่านง่ายและเข้ากับสไตล์การออกแบบ โดยทั่วไปแนะนำให้ใช้ฟอนต์ไม่เกิน 2-3 แบบในหนึ่งชิ้นงาน นอกจากนี้ ต้องเลือกองค์ประกอบกราฟิก เช่น ไอคอน กราฟ แผนภูมิ และภาพประกอบที่จะช่วยสื่อสารข้อมูลของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. การลงมือออกแบบ
เมื่อมีแผนและองค์ประกอบทุกอย่างพร้อมแล้ว ถึงเวลาลงมือออกแบบ วิธีที่ง่ายที่สุดคือเริ่มจากเทมเพลตที่มีอยู่แล้ว แล้วปรับแต่งให้เข้ากับความต้องการของคุณ การใช้เทมเพลตจะช่วยประหยัดเวลาและให้แนวทางในการจัดวางองค์ประกอบที่ดี ระหว่างการออกแบบ ให้คำนึงถึงหลักการออกแบบพื้นฐาน เช่น ความสมดุล การใช้พื้นที่ว่าง และลำดับการอ่าน พยายามรักษาความสอดคล้องของการออกแบบตลอดทั้งชิ้นงาน ทั้งในแง่ของสี ฟอนต์ และสไตล์กราฟิก
5. การตรวจสอบและปรับแก้
ขั้นตอนสุดท้ายแต่สำคัญมากคือการตรวจสอบและปรับแก้ชิ้นงาน เริ่มจากการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล การสะกดคำ และการอ้างอิง จากนั้นดูความสวยงามและความสอดคล้องของการออกแบบ ตรวจสอบว่าทุกองค์ประกอบทำงานร่วมกันได้ดีและสื่อสารข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญคือต้องขอความเห็นจากผู้อื่น โดยเฉพาะคนที่อยู่ในกลุ่มเป้าหมายของคุณ ฟีดแบคที่ได้จะช่วยให้คุณปรับปรุงชิ้นงานให้ดียิ่งขึ้น
สรุปเคล็ดลับสู่ความสำเร็จในการสร้าง Infographic
การสร้าง Infographic ที่ดีไม่ใช่แค่การรวมข้อมูลและภาพสวยๆ เข้าด้วยกัน แต่เป็นศิลปะของการสื่อสารที่ต้องอาศัยความเข้าใจทั้งในด้านการออกแบบและพฤติกรรมของผู้ชม จำไว้ว่า “น้อยแต่มาก” คือกุญแจสำคัญ เลือกนำเสนอเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นและมีความหมาย ใช้การออกแบบที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพ และอย่าลืมเว้นพื้นที่ว่างให้ชิ้นงาน “หายใจ” ได้ ที่สำคัญที่สุดคือต้องคำนึงถึงผู้ชมเป็นหลัก ทำให้พวกเขาเข้าใจและจดจำข้อมูลของคุณได้ง่ายที่สุด