คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมภาพยนตร์หรือวิดีโอส่วนใหญ่มักมีสีสันที่สวยงาม? ใครคือผู้อยู่เบื้องหลังผลงานนี้? ความจริงแล้วการทำให้วิดีโอน่าจดจำไม่ได้ขึ้นอยู่แค่เนื้อหาหรือการถ่ายทำที่ดีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการปรับสีที่เรียกว่า “Color Grading” โดย Colorist จะเข้าช่วยเปลี่ยน Mood and Tone ของวิดีโอ บทความนี้ Sixtygram จะพาคุณไปรู้จักกับ Color Grading ประเภทต่างๆ ความแตกต่างจาก Color Correction และแนวโน้มในอุตสาหกรรม รวมถึงบทบาท Colorist ผู้อยู่เบื้องหลังการสร้างสรรค์ภาพที่สวยงามในสื่อวิดีทัศน์ จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย
Color Grading คืออะไร?

Color Grading คือ ขั้นตอนการปรับสีของวิดีโอหลังการถ่ายทำ เป็นศิลปะและเทคนิคในการปรับแต่งโทนสี ซึ่งสำคัญมากสำหรับการผลิตสื่อวิดีทัศน์ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ โฆษณา หรือรายการโทรทัศน์ การเกรดดิ้งสี (Color Grading) เป็นกระบวนการทางเทคนิคและศิลปะที่มีรากฐานมาจาก “การกำหนดสีตามเวลา” (Color Timing) ในศตวรรษที่ 20 ซึ่งเริ่มต้นในห้องปฏิบัติการภาพยนตร์ยุคแรกเมื่อการบันทึกภาพใช้ฟิล์มเนกาทีฟ ปัจจุบัน Color Grading พัฒนาเป็นรูปแบบดิจิทัลโดยใช้ซอฟต์แวร์ตัดต่อประสิทธิภาพสูง โดยสามารถใช้ซอฟต์แวร์เฉพาะทาง เช่น Adobe Premiere Pro, DaVinci Resolve หรือ Final Cut Pro เพื่อปรับเปลี่ยนโทนสี ความเข้ม และคอนทราสต์ของวิดีโอให้ตรงกับ Mood and Tone หรือตามความต้องการของคุณ ตัวอย่างเช่น การเกรดสีทำให้วิดีโอมีความรู้สึกอบอุ่นหรือเย็น การเน้นสีที่ต้องการให้เด่นชัดขึ้น หรือการแก้ไขความผิดพลาดของสีที่เกิดขึ้นระหว่างการถ่ายทำ
ประเภทของ Color Grading มีอะไรบ้าง?
การเกรดดิ้งสีนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่
1. การเกรดสีที่เป็นธรรมชาติ (Natural Color Grading)
การเกรดสีที่เป็นธรรมชาติเป็นเทคนิคการปรับแต่งสีที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างความงามที่มีอยู่แล้วในภาพ โดยไม่ไปปรับสีพื้นฐาน วิธีการนี้แตกต่างจากการแก้ไขสี (Color Correction) ตรงที่ไม่ได้มุ่งเน้นการแก้ไขข้อบกพร่อง แต่เป็นการขยายคุณภาพของสีที่มีอยู่เดิม เช่น การปรับสีแดง ให้สดขึ้น หรือปรับสีเขียวให้เข้มขึ้นนั้นเอง

2. การเกลี่ยสีคอนทราสต์และตามอารมณ์ (Contrasting Color Grading)
ภาพยนตร์ร่วมสมัยส่วนใหญ่นิยมใช้เทคนิคการไล่ระดับสีแบบตัดกัน เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ในการรับชมที่น่าดึงดูดและสื่อสารอารมณ์ได้อย่างดีเยี่ยม ทำให้ผู้ชมรู้สึกเข้าถึงและอินไปกับหนังเรื่องนั้นๆ

3. การเกรดดิ้งสีเฉพาะประเภท (Genre-specific color grading)
ในโลกของภาพยนตร์ การใช้การจัดระดับสีเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสร้างและสื่อสารความหมายและอารมณ์ของภาพยนตร์ต่าง ๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทของภาพยนตร์และเนื้อหาของมันด้วย ตัวอย่างเช่น หนังโรแมนติกคอมเมดี้ มักใช้สีที่สดใสและแสงที่อบอุ่น เช่น La La Land (2016) เนื่องจากโทนสีอ่อนและสว่างเพื่อเพิ่มความรู้สึกของความโรแมนติกและความสุข หรือหนัง Sci-Fi มักนิยมจะใช้แสงนีออนและสีสังเคราะห์ เช่น Blade Runner 2049 (2017) โทนสีเข้มและคมชัดเพื่อสร้างบรรยากาศเทคโนโลยีแห่งอนาคตและความเป็นเชิงลึก

Color Grading และ Color Correction ต่างกันอย่างไร
คำว่า “Color Grading” และ “Color Correction” เป็นศัพท์เฉพาะทางที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมการผลิตสื่อวิดีทัศน์(Production) แม้ว่าทั้งสองคำนี้จะมีความเกี่ยวข้องกัน แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญในแง่ของความหมายและการประยุกต์ใช้
Color Correction คือ การแก้ไขข้อบกพร่องทางเทคนิคที่เกิดขึ้นระหว่างการถ่ายทำ เช่น การปรับสมดุลแสงขาว (White Balance) เพื่อให้สีที่ปรากฏมีความเป็นธรรมชาติและสมจริง กระบวนการนี้มุ่งเน้นการสร้างพื้นฐานที่ถูกต้องสำหรับการปรับแต่งสีในขั้นตอนต่อไป ในทางกลับกัน Color Grading คือ กระบวนการที่มีความซับซ้อนและสร้างสรรค์มากกว่า โดยมักดำเนินการต่อจาก Color Correction ในปัจจุบัน Color Grading เป็นคำที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากมีความหมายที่ครอบคลุมกว้างกว่า รวมถึงทั้งการแก้ไขและการปรับสีวิดีโอ นอกจากนี้ยังสื่อถึงกระบวนการที่มีความซับซ้อนและมีมิติทางศิลปะมากกว่า ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และโฆษณาสมัยใหม่
ตำแหน่ง Color grading มีชื่อเรียกว่าอะไร?

ตำแหน่งที่รับผิดชอบในการทำ Color Grading มีชื่อเรียกว่า Colorist หรือบางครั้งเรียกว่า Color Grader หรือนักปรับแต่งสี ซึ่ง Colorist คือ ผู้เชี่ยวชาญที่มีบทบาทสำคัญในกระบวนการหลังการถ่ายทำ (Post-production) ของการผลิตสื่อวิดีทัศน์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ โฆษณา รายการโทรทัศน์ หรือวิดีโอออนไลน์ ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และโทรทัศน์ระดับสูง Colorist มักเป็นตำแหน่งที่ได้รับการยอมรับและมีความสำคัญเทียบเท่ากับผู้กำกับภาพ (Cinematographer) ในการกำหนด Art Direction โดยรวมของผลงาน
หน้าที่หลักของ Colorist
- ปรับแต่งสีและโทนของภาพให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของผู้กำกับและทีมสร้างสรรค์
- สร้างบรรยากาศและอารมณ์ผ่านการจัดการสี เพื่อส่งเสริมการเล่าเรื่อง
- แก้ไขปัญหาด้านสีที่เกิดขึ้นระหว่างการถ่ายทำ
- สร้างความต่อเนื่องของสีและโทนตลอดทั้งผลงาน
- ประยุกต์ใช้เทคนิคและเทคโนโลยีล่าสุดในการปรับแต่งสี
อยากเป็น Colorist ต้องเรียนอะไร?
สำหรับผู้ที่มีความสนใจในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และโปรดักชั่น และมีความชื่นชอบในการทำงานที่ผสมผสานระหว่างศิลปะและเทคโนโลยี อาชีพ Colorist อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ โดยในปัจจุบัน อาชีพนี้กำลังได้รับความนิยมและเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงาน อีกทั้งยังมีอัตราค่าตอบแทนที่ค่อนข้างสูง เงินเดือนของ Colorist โดยจะเริ่มต้นที่ 20,000 – 180,000 บาทต่อเดือน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ประสบการณ์ ทักษะ ผลงาน ประเภทงาน และบริษัทที่ทำงาน ในด้านการศึกษา ผู้ที่สนใจสามารถเลือกศึกษาต่อในสาขาวิชาภาพยนตร์ นิเทศศาสตร์ หรือสาขาที่เกี่ยวข้องกับการผลิตภาพยนตร์ หรือบางมหาวิทยาลัยมีหลักสูตรเฉพาะทางด้าน Color Grading โดยตรง ซึ่งจะช่วยปูพื้นฐานความรู้ที่จำเป็นสำหรับการประกอบอาชีพนี้ ซึ่งทักษะที่สำคัญสำหรับ Colorist ประกอบด้วย:
- ความรู้ด้านศิลปะภาพยนตร์และเทคโนโลยีการผลิตภาพยนตร์
- ความสามารถในการอ่านและวิเคราะห์ค่าจาก Vectorscope และ Waveform Monitor เพื่อให้ได้ค่าสีที่ถูกต้องและแม่นยำ
- ความเข้าใจในทฤษฎีสีและจิตวิทยาของสี เนื่องจากสีมีความสัมพันธ์กับอารมณ์และความรู้สึกของผู้ชม ตัวอย่างเช่น สีส้มสื่อถึงความเบิกบาน อบอุ่น และความกระตือรือร้น
บทสรุปและแนวโน้มของ Color Grading ในปัจจุบัน

Color Grading คือ การเกรดสีในภาพยนตร์และวิดีโอเพื่อสร้างบรรยากาศและเสน่ห์ตามความต้องการของผู้กำกับและผู้ชม ด้วยเทคนิค Color Grading และ Color Correction ที่ถูกใช้ในวงการนี้ การเกรดสีเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผลิตภัณฑ์วิดีโอระดับมืออาชีพเพื่อให้ได้คุณภาพที่มั่นใจและสอดคล้องกับความต้องการของแต่ละโปรเจ็กต์ แม้ว่า Color Grading จะเป็นเรื่องที่ท้าทาย เนื่องจากต้องอาศัยทั้งความรู้ทางเทคนิคและสายตาทางศิลปะ ผู้เรียนสามารถพัฒนาความสามารถนี้ได้ด้วยการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ และเครื่องมือดิจิทัลเช่น Descript, Adobe Photoshop, และ Lightroom จะช่วยให้ผู้เริ่มต้นเรียนรู้พื้นฐานและพัฒนาทักษะการจัดระดับสีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เทคโนโลยีการเกรดสี (Color Grading) มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดและความพึงพอใจของผู้ชม ได้แก่
- การใช้สีเพื่อเล่าเรื่อง: ผู้กำกับและนักสร้างภาพยนตร์ใช้สีเป็นเครื่องมือในการเล่าเรื่องและสร้างอารมณ์ เช่น การใช้สีเข้มเพื่อเพิ่มความเข้มข้นในฉากแอคชั่นหรือการใช้สีอ่อนเพื่อสร้างบรรยากาศของความสงบสุข.
- การปรับแต่งสีที่มีประสิทธิภาพสูง ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ และซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ช่วยให้ Color Grading สามารถทำได้มากขึ้นในเวลาที่เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น เช่นการใช้งาน AI ในการปรับสีอัตโนมัติเพื่อลดเวลาและความเหนื่อยล้าของนักปรับสี
- การปรับแต่งสีแบบส่วนบุคคล: นักสร้างสื่อสามารถปรับแต่งสีแบบส่วนบุคคลให้เข้ากับสไตล์หรือแบรนด์ของตนเองได้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดตัวตนสื่อบริการสตรีมมิ่งหรือโปรเจกต์ทางการ
Color Grading ในปัจจุบันไม่เพียงแค่เป็นกระบวนการเพื่อปรับสีเท่านั้น แต่เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่ช่วยให้ผู้สร้างสื่อสามารถสร้างผลงานที่มีคุณภาพและมีความสมดุลที่สูงขึ้นตามความต้องการของตลาดและผู้ชมในยุคปัจจุบันและอนาคต