Amintra

5 มกราคม 2025

15 เทคนิคการเขียน Clickbait สร้างยอดคลิกอย่างมีคุณภาพ (อัปเดต 2025)

ในยุคที่ Content Marketing กลายเป็นหัวใจสำคัญของการตลาดดิจิทัล การเขียน Clickbait ที่มีประสิทธิภาพและมีจริยธรรมจึงเป็นทักษะที่ขาดไม่ได้สำหรับนักการตลาดและผู้สร้างคอนเทนต์ทุกคน การสร้างเนื้อหาที่ดึงดูดความสนใจไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่ม Engagement Rate แต่ยังต้องรักษา Brand Trust ในระยะยาวด้วย บทความนี้ Sixtygram ขอแนะนำ 15 เทคนิคที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้าง Clickbait ที่มีคุณภาพ พร้อมตัวอย่างที่นำไปใช้ได้จริง

ในโลกของ Digital Marketing ที่มีการแข่งขันสูง การสร้างคอนเทนต์ที่โดดเด่นและดึงดูดความสนใจเป็นสิ่งจำเป็น แต่ต้องคำนึงถึงความสมดุลระหว่าง:

  • การดึงดูดความสนใจ (Attention Grabbing)
  • การรักษาความน่าเชื่อถือ (Credibility)
  • การสร้างคุณค่าให้ผู้อ่าน (Value Proposition)

1. การใช้ตัวเลขนำหน้าข้อความหลัก

1. การใช้ตัวเลขนำหน้าอย่างชาญฉลาด

ตัวเลขมีพลังในการดึงดูดความสนใจของผู้อ่านอย่างน่าประหลาดใจ เพราะสมองของเรามักจะประมวลผลข้อมูลที่เป็นตัวเลขได้ง่ายกว่าข้อความทั่วไป การใช้ตัวเลขนำหน้าช่วยให้ผู้อ่านเห็นภาพรวมของเนื้อหาและรู้ว่าจะได้อะไรจากการอ่านบ้าง นอกจากนี้ ตัวเลขยังช่วยให้เนื้อหาดูมีความน่าเชื่อถือและเป็นระบบมากขึ้น ลองนึกถึงตอนที่เราเห็นพาดหัว “7 เคล็ดลับลดน้ำหนักที่ทำได้จริง” กับ “เคล็ดลับลดน้ำหนัก” แบบไหนที่ดึงดูดความสนใจได้มากกว่ากัน

ตัวอย่างการใช้ตัวเลขที่น่าสนใจ:

  • “9 วิธีประหยัดเงินที่คนรวยไม่เคยบอกใคร”
  • “83% ของคนที่ประสบความสำเร็จมีนิสัยแบบนี้”
  • “5 นาทีต่อวันกับการเปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้น”

2. การสร้างความอยากรู้อยากเห็น

2. การสร้างความอยากรู้อยากเห็น

ธรรมชาติของมนุษย์เรามักอยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่ยังไม่รู้ การเขียนพาดหัวที่สร้างช่องว่างของข้อมูล หรือที่เรียกว่า Information Gap จึงเป็นเทคนิคที่ได้ผลดี เมื่อผู้อ่านรู้สึกว่ามีบางอย่างที่พวกเขายังไม่รู้ แต่อยากรู้ พวกเขาก็จะมีแรงจูงใจที่จะคลิกเข้ามาอ่าน แต่สิ่งสำคัญคือต้องไม่สร้างความคาดหวังเกินจริง เพราะจะทำให้ผู้อ่านผิดหวังและเสียความน่าเชื่อถือในระยะยาว

วิธีสร้างความอยากรู้ที่ได้ผล:

  • “เปิดโปง! สิ่งที่ร้านกาแฟดังไม่เคยบอกลูกค้า”
  • “ความลับที่ทำให้คนญี่ปุ่นอายุยืน เรื่องจริงที่คุณต้องรู้”
  • “ทำไมคนรวยถึงตื่นเช้า? คำตอบที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณ”

3. การกระตุ้นอารมณ์

3. การกระตุ้นอารมณ์อย่างแยบยล

อารมณ์เป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของมนุษย์ การเลือกใช้คำที่กระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกจึงเป็นเทคนิคที่มีประสิทธิภาพ แต่ต้องระวังไม่ให้เกินเลยจนกลายเป็นการปั่นกระแสหรือสร้างความตื่นตระหนกเกินเหตุ การกระตุ้นอารมณ์ที่ดีควรมาพร้อมกับเนื้อหาที่มีคุณค่าและตอบโจทย์ความรู้สึกนั้นๆ ได้จริง

ตัวอย่างการใช้คำกระตุ้นอารมณ์:

  • ความประหลาดใจ: “เหลือเชื่อ! วิธีง่ายๆ ที่ทำให้บ้านสะอาดใน 10 นาที”
  • ความกลัวพลาด: “พลาดไม่ได้! โอกาสทองของการลงทุนที่มาแค่ปีละครั้ง”
  • ความสุข: “ความสุขที่คุณสร้างได้ด้วยตัวเอง เริ่มต้นวันนี้”

4. การกระตุ้นหรือสร้างความเร่งด่วน

4. การสร้างความเร่งด่วนที่สมเหตุสมผล

ความเร่งด่วนเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นการตัดสินใจ แต่การสร้างความเร่งด่วนต้องมีเหตุผลรองรับ ไม่ใช่แค่การกดดันให้คนรีบตัดสินใจ เช่น ถ้ามีโปรโมชั่นที่มีระยะเวลาจำกัด หรือมีสินค้าจำนวนจำกัด ก็สามารถใช้จุดนี้มาสร้างความเร่งด่วนได้อย่างสมเหตุสมผล

ตัวอย่างการสร้างความเร่งด่วน:

  • “เหลือเวลาอีกแค่ 24 ชั่วโมงสุดท้าย กับส่วนลดที่ใหญ่ที่สุดในรอบปี”
  • “จองด่วน! ที่นั่งเหลือจำกัด สำหรับสัมมนาที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณ”
  • “โอกาสสุดท้าย! ก่อนราคาจะปรับขึ้นในวันพรุ่งนี้”

5. การใช้คำถามที่กระตุ้นความคิด

5. การใช้คำถามที่กระตุ้นความคิด

การตั้งคำถามเป็นวิธีที่ทรงพลังในการดึงดูดความสนใจ เพราะเมื่อเราเจอคำถาม สมองจะพยายามหาคำตอบโดยอัตโนมัติ คำถามที่ดีควรเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของกลุ่มเป้าหมาย และต้องเป็นเรื่องที่พวกเขาสงสัยหรือกำลังหาคำตอบอยู่จริงๆ เช่น ถ้ากลุ่มเป้าหมายเป็นคนทำงานออฟฟิศ คำถามเกี่ยวกับการจัดการเวลา การออมเงิน หรือการดูแลสุขภาพ ก็มักจะได้รับความสนใจ

ตัวอย่างคำถามที่กระตุ้นความคิด:

  • “ทำไมคุณถึงเหนื่อยทั้งที่นอนครบ 8 ชั่วโมง?”
  • “รู้หรือไม่? ทำไมเงินเดือนหมดก่อนสิ้นเดือนทุกที”
  • “ออมเงินมาตั้งนาน ทำไมยังไม่รวย? นี่คือคำตอบที่คุณต้องรู้”

6. การระบุประโยชน์ที่จับต้องได้

6. การระบุประโยชน์ที่จับต้องได้

การบอกประโยชน์ที่ผู้อ่านจะได้รับอย่างชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญ คนเราชอบความชัดเจนว่าจะได้อะไรจากการลงทุนเวลาอ่าน เวลาเขียนถึงประโยชน์ ควรเน้นผลลัพธ์ที่เห็นได้จริงและระบุตัวเลขที่ชัดเจน แต่ต้องไม่เกินจริงจนเกินไป เช่น แทนที่จะบอกว่า “รวยภายใน 7 วัน” อาจจะบอกว่า “ประหยัดได้ 1,000 บาทต่อเดือนด้วย 5 วิธีง่ายๆ” จะน่าเชื่อถือกว่า

ตัวอย่างการระบุประโยชน์ที่ดี:

  • “ลดค่าไฟได้ 30% ด้วยวิธีที่ทำได้เองที่บ้าน”
  • “เพิ่มยอดขายออนไลน์ 50% ภายใน 3 เดือน ด้วยเทคนิคที่ร้านเล็กๆ ก็ทำได้”
  • “ประหยัดค่าอาหาร 3,000 บาทต่อเดือน ด้วยวิธีที่ไม่ต้องอดมื้อไหน”

7. การใช้การเปรียบเทียบที่เห็นภาพ

7. การใช้การเปรียบเทียบที่เห็นภาพ

คนเรามักจะเข้าใจอะไรได้ง่ายขึ้นเมื่อมีการเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจน การเปรียบเทียบที่ดีควรใช้สิ่งที่ใกล้ตัวและเข้าใจง่าย เช่น การเปรียบเทียบก่อน-หลัง หรือการเปรียบเทียบระหว่างวิธีเก่ากับวิธีใหม่ แต่ต้องระวังไม่ให้เป็นการดูถูกหรือลดคุณค่าของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

ตัวอย่างการเปรียบเทียบที่น่าสนใจ:

  • “จากเงินเดือน 15,000 สู่ธุรกิจล้านบาท เส้นทางที่ใครก็ทำได้”
  • “เปลี่ยนห้องรกเป็นห้องสวยด้วยงบไม่ถึงพัน Before & After ที่ต้องดู”
  • “ร้านกาแฟบ้านๆ VS ร้านในห้าง ใครกำไรมากกว่ากัน?”

8. การใช้คำกระตุ้นให้ลงมือทำ

8. การใช้คำกระตุ้นให้ลงมือทำ

การใช้คำที่กระตุ้นให้เกิดการกระทำ หรือ Call to Action เป็นเทคนิคสำคัญที่จะทำให้คนตัดสินใจคลิกอ่าน คำพวกนี้ควรสั้น กระชับ และบอกชัดเจนว่าต้องทำอะไร โดยใช้ภาษาที่สร้างแรงจูงใจและความรู้สึกเร่งด่วนแต่ไม่กดดันจนเกินไป

ตัวอย่างคำกระตุ้นการกระทำ:

  • “เริ่มต้นวันนี้! สร้างรายได้ออนไลน์ด้วยสิ่งที่คุณถนัด”
  • “ดาวน์โหลดฟรี! คู่มือเริ่มต้นธุรกิจร้านค้าออนไลน์”
  • “จองด่วน! คอร์สเรียนทำอาหารออนไลน์ รับจำนวนจำกัด”

9. การสร้างเนื้อหาเฉพาะกลุ่ม

9. การสร้างเนื้อหาเฉพาะกลุ่ม

การเจาะจงกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนจะทำให้คนที่อยู่ในกลุ่มนั้นรู้สึกว่าเนื้อหานี้ถูกสร้างมาสำหรับพวกเขาโดยเฉพาะ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการได้รับความสนใจมากขึ้น การระบุกลุ่มเป้าหมายควรเฉพาะเจาะจงพอที่จะทำให้คนรู้สึกว่าใช่ตัวเอง แต่ไม่แคบจนเกินไปจนคนส่วนใหญ่รู้สึกว่าไม่เกี่ยวกับตัวเอง

ตัวอย่างการระบุกลุ่มเป้าหมาย:

  • “คู่มือมือใหม่หัดขายของออนไลน์ สำหรับคนที่ไม่เคยทำมาก่อน”
  • “เคล็ดลับจัดบ้านสไตล์มินิมอล สำหรับคนอยู่คอนโด”
  • “10 เมนูอาหารคลีน สำหรับคนทำงานออฟฟิศที่ไม่มีเวลา”

10. การใช้ FOMO อย่างมีศิลปะ

10. การใช้ FOMO อย่างมีศิลปะ

FOMO (Fear Of Missing Out) หรือความกลัวที่จะพลาดโอกาส เป็นจิตวิทยาที่ทรงพลังมากในการสร้างการตัดสินใจ เพราะคนเรามักจะกลัวการพลาดโอกาสดีๆ มากกว่าการได้ประโยชน์เพิ่ม การใช้ FOMO ในการเขียน Clickbait ต้องทำอย่างแยบยล ต้องสร้างความรู้สึกว่ามีโอกาสดีๆ ที่ไม่ควรพลาด แต่ต้องไม่สร้างความกดดันหรือความวิตกกังวลมากเกินไป และที่สำคัญต้องมีของดีจริงๆ มารองรับ

เทคนิคการใช้ FOMO ที่ได้ผล มักจะเกี่ยวข้องกับ:

  • การสร้างความรู้สึกว่ามีคนจำนวนมากกำลังได้ประโยชน์จากสิ่งนี้
  • การชี้ให้เห็นว่าถ้าพลาดโอกาสนี้ไป อาจต้องรออีกนาน
  • การบอกถึงผลเสียที่อาจเกิดขึ้นถ้าไม่รีบตัดสินใจ

11. การใช้ความน่าเชื่อถือจากผู้มีชื่อเสียง

11. การใช้ความน่าเชื่อถือจากผู้มีชื่อเสียง

การอ้างอิงถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงหรือผู้เชี่ยวชาญเป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเนื้อหาได้อย่างมาก แต่ต้องเลือกบุคคลที่เหมาะสมและมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาจริงๆ ไม่ใช่แค่ใช้ชื่อดังๆ มาดึงดูดความสนใจ เช่น ถ้าพูดถึงเรื่องการลงทุน ก็ควรอ้างอิงนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ หรือถ้าพูดถึงการสร้างธุรกิจ ก็ควรอ้างอิงเจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจริง

การใช้ความน่าเชื่อถือจากผู้มีชื่อเสียงควรคำนึงถึง:

  • ความเกี่ยวข้องกับหัวข้อที่นำเสนอ
  • ความน่าเชื่อถือในสายงานนั้นๆ
  • การได้รับการยอมรับจากกลุ่มเป้าหมาย

ตัวอย่างที่น่าสนใจ:

  • “เผย! 3 หลักการลงทุนที่ทำให้คุณประสบความสำเร็จ”
  • “ตามรอยสูตรความสำเร็จของ ตัน ภาสกรนที ที่ใครก็ทำตามได้”
  • “เปิดสูตรลับร้านกาแฟดัง จาก บอส เกรซ คนพลิกธุรกิจจากร้านเล็กสู่แฟรนไชส์ระดับประเทศ”

12. การสร้างความแปลกใหม่ที่น่าสนใจ

12. การสร้างความแปลกใหม่ที่น่าสนใจ

ในยุคที่ข้อมูลท่วมท้น การนำเสนอมุมมองใหม่ๆ หรือวิธีการที่ไม่เคยมีใครพูดถึงมาก่อน จะช่วยดึงดูดความสนใจได้เป็นอย่างดี ความแปลกใหม่อาจเกิดจากการนำเสนอข้อมูลในมุมที่ไม่คาดคิด การเชื่อมโยงเรื่องที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกัน หรือการท้าทายความเชื่อเดิมๆ ที่คนส่วนใหญ่มี แต่ต้องมีข้อมูลหรือเหตุผลมารองรับอย่างน่าเชื่อถือ

การสร้างความแปลกใหม่ที่น่าสนใจควรมีลักษณะ:

  • ให้มุมมองที่แตกต่างจากความเชื่อทั่วไป
  • มีข้อมูลหรือหลักฐานสนับสนุนที่น่าเชื่อถือ
  • สามารถนำไปใช้ได้จริง

ตัวอย่างที่น่าสนใจ:

  • “ไม่ต้องตื่นเช้าก็รวยได้! เปิดความจริงที่ไม่มีใครกล้าบอก”
  • “กินข้าวเย็นดึกแล้วผอมได้? เคล็ดลับที่นักโภชนาการไม่อยากให้คุณรู้”
  • “ล้างจานช่วยลดความเครียดได้จริงหรือ? ผลวิจัยที่จะเปลี่ยนมุมมองคุณ”

13. การใช้เทคนิคการเล่าเรื่อง

13. การใช้เทคนิคการเล่าเรื่อง

การเล่าเรื่องเป็นวิธีที่ทรงพลังในการดึงดูดความสนใจ เพราะคนเรามักจะจดจำและเข้าใจข้อมูลผ่านเรื่องราวได้ดีกว่าการอ่านข้อเท็จจริงล้วนๆ การเล่าเรื่องที่ดีควรมีองค์ประกอบที่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกอยากติดตามหรือเกิดการ clickbait เช่น มีตัวละครที่น่าสนใจ มีความขัดแย้งหรือปัญหาที่ต้องแก้ไข และมีบทสรุปที่ให้ข้อคิดหรือแง่มุมที่เป็นประโยชน์

องค์ประกอบสำคัญในการเล่าเรื่อง:

  • ตัวละครที่ผู้อ่านเข้าถึงได้
  • ปมปัญหาที่น่าสนใจ
  • การพลิกผันที่น่าติดตาม
  • บทสรุปที่ให้คุณค่า

ตัวอย่างที่น่าสนใจ:

  • “จากพนักงานออฟฟิศสู่เจ้าของร้านออนไลน์ล้านบาท เส้นทางที่คุณก็ทำได้”
  • “หนี้ท่วม เครียดหนัก แต่พลิกชีวิตได้ด้วยวิธีที่ไม่คาดคิด”
  • “เด็กขายลูกชิ้นป้ายรถเมล์ สู่นักธุรกิจรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จ”

14. การสร้างความน่าเชื่อถือด้วยข้อมูล

14. การสร้างความน่าเชื่อถือด้วยข้อมูล

ในยุคที่ข่าวปลอมและข้อมูลเท็จมีมากมาย การนำเสนอข้อมูลที่น่าเชื่อถือจึงเป็นสิ่งสำคัญ การอ้างอิงผลการวิจัย สถิติ หรือข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจและความน่าเชื่อถือให้กับเนื้อหา แต่ต้องระวังไม่ให้ซับซ้อนหรือเข้าใจยากเกินไป ควรนำเสนอในรูปแบบที่เข้าใจง่ายและน่าสนใจ

วิธีนำเสนอข้อมูลให้น่าเชื่อถือ:

  • ใช้ข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ
  • นำเสนอตัวเลขที่เข้าใจง่าย
  • เชื่อมโยงกับชีวิตประจำวัน

ตัวอย่างที่น่าสนใจ:

  • “ผลวิจัยชี้! คนไทย 76% กำลังออมเงินผิดวิธี”
  • “เปิดสถิติช็อก! พฤติกรรมการใช้เงินที่ทำให้คนไทยไม่รวย”
  • “จากงานวิจัย 10 ปี เผยนิสัยที่ทำให้คนประสบความสำเร็จ”

15. การทดสอบและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

15. การทดสอบและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

การสร้าง Clickbait ที่มีประสิทธิภาพไม่ใช่การคาดเดา แต่ต้องอาศัยการทดสอบและวิเคราะห์ผลอย่างต่อเนื่อง การติดตามว่าพาดหัวแบบไหนได้ผลดี เนื้อหาแบบไหนที่คนอ่านจนจบ และอะไรที่ทำให้คนแชร์ต่อ จะช่วยให้เราพัฒนาการเขียน Clickbait ได้ดียิ่งขึ้น

สิ่งที่ควรติดตามและวิเคราะห์:

  • อัตราการคลิก (Click-Through Rate)
  • เวลาที่ใช้อ่านเนื้อหา
  • อัตราการแชร์และการมีส่วนร่วม
  • คอมเมนต์และฟีดแบ็กจากผู้อ่าน

ตัวอย่างที่น่าสนใจ:

  • “จาก 100 คลิกเป็น 1,000 คลิก ด้วยเทคนิคที่ใครก็ทำได้”
  • “เปลี่ยนยอดวิวธรรมดาให้กลายเป็นยอดขาย ด้วยวิธีที่ได้ผลจริง”
  • “พลิกโฉมคอนเทนต์ธรรมดาให้มียอดไลค์หลักหมื่น ด้วยสูตรที่ทดสอบแล้ว”

บทสรุป

การสร้าง Clickbait ที่มีประสิทธิภาพในยุคดิจิทัลเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ต้องอาศัยความเข้าใจในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมผู้บริโภค จิตวิทยาการตลาด และเทคนิคการเขียนที่ดึงดูดความสนใจ ซึ่งทั้ง 15 เทคนิคที่นำเสนอในบทความนี้ล้วนเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้นักการตลาดและผู้สร้างคอนเทนต์สามารถสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจและมีคุณค่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สิ่งสำคัญที่สุดในการทำ Clickbait คือการรักษาสมดุลระหว่างการดึงดูดความสนใจและการรักษาความน่าเชื่อถือ พาดหัวที่น่าสนใจต้องมาพร้อมกับเนื้อหาที่มีคุณภาพ ไม่ใช่แค่การหลอกให้คลิกแต่ต้องส่งมอบคุณค่าที่แท้จริงให้กับผู้อ่าน การสร้างความคาดหวังที่พอดีและการนำเสนอเนื้อหาที่ตรงตามที่สัญญาไว้จะช่วยสร้างความไว้วางใจและความภักดีจากผู้อ่านในระยะยาว

นอกจากนี้ การวัดผลและพัฒนาอย่างต่อเนื่องก็เป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ การติดตามว่าพาดหัวแบบไหนได้ผลดี เนื้อหาแบบใดที่ผู้อ่านชื่นชอบ และการวิเคราะห์พฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย จะช่วยให้เราสามารถปรับปรุงและพัฒนาการสร้าง Clickbait ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะในที่สุดแล้ว ความสำเร็จของ Clickbait ไม่ได้วัดจากจำนวนคลิกเพียงอย่างเดียว แต่วัดจากคุณค่าและความประทับใจที่ผู้อ่านได้รับ ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนของแบรนด์และธุรกิจในระยะยาว

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Clickbait เป็นเทคนิคการเขียนพาดหัวหรือคำโปรยที่มีจุดประสงค์เพื่อดึงดูดให้ผู้อ่านสนใจและคลิกเข้ามาอ่านเนื้อหา แต่สิ่งสำคัญคือต้องมีเนื้อหาที่มีคุณภาพรองรับ ไม่ใช่แค่การหลอกให้คลิก Clickbait ที่ดีจะต้องสร้างความสมดุลระหว่างความน่าสนใจของพาดหัวและคุณค่าของเนื้อหา

ในปัจจุบัน Clickbait ได้พัฒนาจากการเป็นเพียงเทคนิคการตั้งชื่อเรื่องที่เรียกความสนใจ มาเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การตลาดเชิงเนื้อหา (Content Marketing Strategy) ที่ต้องคำนึงถึงทั้งการดึงดูดความสนใจในระยะสั้นและการสร้างความน่าเชื่อถือในระยะยาว

การสร้าง Clickbait ที่มีจริยธรรมเริ่มต้นจากความเข้าใจในความต้องการของผู้อ่านอย่างแท้จริง เราต้องสร้างความสมดุลระหว่างการดึงดูดความสนใจและการให้คุณค่า พาดหัวของเราควรน่าสนใจแต่ต้องไม่เกินจริง และที่สำคัญคือต้องมีเนื้อหาที่มีคุณภาพรองรับตามที่สัญญาไว้

การรักษาความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญ เราต้องอ้างอิงข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ นำเสนอข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา และไม่ใช้ภาษาที่สร้างความตื่นตระหนกเกินจริง ต้องเคารพเวลาและความสนใจของผู้อ่าน โดยนำเสนอเนื้อหาที่มีคุณค่าและตรงประเด็น

จากการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทย เราพบว่ามีเทคนิคบางอย่างที่ได้ผลเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการใช้ตัวเลขนำหน้า ซึ่งช่วยให้ผู้อ่านเห็นภาพรวมของเนื้อหาได้ทันที เช่น “7 วิธีประหยัดเงินแบบคนรุ่นใหม่” หรือ “5 เคล็ดลับการลงทุนที่มือใหม่ต้องรู้”

นอกจากนี้ คนไทยยังชอบเนื้อหาที่สร้างความอยากรู้อยากเห็น โดยเฉพาะเรื่องใกล้ตัวหรือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน การใช้ภาษาที่เป็นกันเองและเข้าถึงง่ายก็เป็นปัจจัยสำคัญ เราควรผสมผสานภาษาไทยและอังกฤษอย่างเหมาะสม และยกตัวอย่างจากสถานการณ์จริงที่คนไทยกำลังเผชิญ

การวัดความสำเร็จของ Clickbait ไม่ได้ดูแค่จำนวนคลิกเพียงอย่างเดียว แต่ต้องพิจารณาหลายมิติประกอบกัน เริ่มจากอัตราการคลิก (CTR) ที่บอกให้รู้ว่าพาดหัวของเรามีประสิทธิภาพในการดึงดูดความสนใจมากน้อยแค่ไหน แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือเวลาที่ผู้อ่านใช้กับเนื้อหาของเรา

เราต้องดูว่าผู้อ่านใช้เวลาอ่านนานแค่ไหน มีการเลื่อนอ่านจนจบหน้าหรือไม่ และมีอัตราการเด้งกลับเท่าไร นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมก็เป็นตัวชี้วัดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการกดไลค์ แสดงความคิดเห็น หรือแชร์ต่อ ซึ่งสะท้อนว่าเนื้อหาของเรามีคุณค่ามากพอที่จะทำให้ผู้อ่านต้องการแบ่งปันให้ผู้อื่น

TAG ที่เกี่ยวข้อง: