ในยุคที่ Content Marketing กลายเป็นหัวใจสำคัญของการตลาดดิจิทัล การเขียน Clickbait ที่มีประสิทธิภาพและมีจริยธรรมจึงเป็นทักษะที่ขาดไม่ได้สำหรับนักการตลาดและผู้สร้างคอนเทนต์ทุกคน การสร้างเนื้อหาที่ดึงดูดความสนใจไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่ม Engagement Rate แต่ยังต้องรักษา Brand Trust ในระยะยาวด้วย บทความนี้ Sixtygram ขอแนะนำ 15 เทคนิคที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้าง Clickbait ที่มีคุณภาพ พร้อมตัวอย่างที่นำไปใช้ได้จริง
ในโลกของ Digital Marketing ที่มีการแข่งขันสูง การสร้างคอนเทนต์ที่โดดเด่นและดึงดูดความสนใจเป็นสิ่งจำเป็น แต่ต้องคำนึงถึงความสมดุลระหว่าง:
- การดึงดูดความสนใจ (Attention Grabbing)
- การรักษาความน่าเชื่อถือ (Credibility)
- การสร้างคุณค่าให้ผู้อ่าน (Value Proposition)
1. การใช้ตัวเลขนำหน้าข้อความหลัก

ตัวเลขมีพลังในการดึงดูดความสนใจของผู้อ่านอย่างน่าประหลาดใจ เพราะสมองของเรามักจะประมวลผลข้อมูลที่เป็นตัวเลขได้ง่ายกว่าข้อความทั่วไป การใช้ตัวเลขนำหน้าช่วยให้ผู้อ่านเห็นภาพรวมของเนื้อหาและรู้ว่าจะได้อะไรจากการอ่านบ้าง นอกจากนี้ ตัวเลขยังช่วยให้เนื้อหาดูมีความน่าเชื่อถือและเป็นระบบมากขึ้น ลองนึกถึงตอนที่เราเห็นพาดหัว “7 เคล็ดลับลดน้ำหนักที่ทำได้จริง” กับ “เคล็ดลับลดน้ำหนัก” แบบไหนที่ดึงดูดความสนใจได้มากกว่ากัน
ตัวอย่างการใช้ตัวเลขที่น่าสนใจ:
- “9 วิธีประหยัดเงินที่คนรวยไม่เคยบอกใคร”
- “83% ของคนที่ประสบความสำเร็จมีนิสัยแบบนี้”
- “5 นาทีต่อวันกับการเปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้น”
2. การสร้างความอยากรู้อยากเห็น

ธรรมชาติของมนุษย์เรามักอยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่ยังไม่รู้ การเขียนพาดหัวที่สร้างช่องว่างของข้อมูล หรือที่เรียกว่า Information Gap จึงเป็นเทคนิคที่ได้ผลดี เมื่อผู้อ่านรู้สึกว่ามีบางอย่างที่พวกเขายังไม่รู้ แต่อยากรู้ พวกเขาก็จะมีแรงจูงใจที่จะคลิกเข้ามาอ่าน แต่สิ่งสำคัญคือต้องไม่สร้างความคาดหวังเกินจริง เพราะจะทำให้ผู้อ่านผิดหวังและเสียความน่าเชื่อถือในระยะยาว
วิธีสร้างความอยากรู้ที่ได้ผล:
- “เปิดโปง! สิ่งที่ร้านกาแฟดังไม่เคยบอกลูกค้า”
- “ความลับที่ทำให้คนญี่ปุ่นอายุยืน เรื่องจริงที่คุณต้องรู้”
- “ทำไมคนรวยถึงตื่นเช้า? คำตอบที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณ”
3. การกระตุ้นอารมณ์

อารมณ์เป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของมนุษย์ การเลือกใช้คำที่กระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกจึงเป็นเทคนิคที่มีประสิทธิภาพ แต่ต้องระวังไม่ให้เกินเลยจนกลายเป็นการปั่นกระแสหรือสร้างความตื่นตระหนกเกินเหตุ การกระตุ้นอารมณ์ที่ดีควรมาพร้อมกับเนื้อหาที่มีคุณค่าและตอบโจทย์ความรู้สึกนั้นๆ ได้จริง
ตัวอย่างการใช้คำกระตุ้นอารมณ์:
- ความประหลาดใจ: “เหลือเชื่อ! วิธีง่ายๆ ที่ทำให้บ้านสะอาดใน 10 นาที”
- ความกลัวพลาด: “พลาดไม่ได้! โอกาสทองของการลงทุนที่มาแค่ปีละครั้ง”
- ความสุข: “ความสุขที่คุณสร้างได้ด้วยตัวเอง เริ่มต้นวันนี้”
4. การกระตุ้นหรือสร้างความเร่งด่วน

ความเร่งด่วนเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นการตัดสินใจ แต่การสร้างความเร่งด่วนต้องมีเหตุผลรองรับ ไม่ใช่แค่การกดดันให้คนรีบตัดสินใจ เช่น ถ้ามีโปรโมชั่นที่มีระยะเวลาจำกัด หรือมีสินค้าจำนวนจำกัด ก็สามารถใช้จุดนี้มาสร้างความเร่งด่วนได้อย่างสมเหตุสมผล
ตัวอย่างการสร้างความเร่งด่วน:
- “เหลือเวลาอีกแค่ 24 ชั่วโมงสุดท้าย กับส่วนลดที่ใหญ่ที่สุดในรอบปี”
- “จองด่วน! ที่นั่งเหลือจำกัด สำหรับสัมมนาที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณ”
- “โอกาสสุดท้าย! ก่อนราคาจะปรับขึ้นในวันพรุ่งนี้”
5. การใช้คำถามที่กระตุ้นความคิด

การตั้งคำถามเป็นวิธีที่ทรงพลังในการดึงดูดความสนใจ เพราะเมื่อเราเจอคำถาม สมองจะพยายามหาคำตอบโดยอัตโนมัติ คำถามที่ดีควรเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของกลุ่มเป้าหมาย และต้องเป็นเรื่องที่พวกเขาสงสัยหรือกำลังหาคำตอบอยู่จริงๆ เช่น ถ้ากลุ่มเป้าหมายเป็นคนทำงานออฟฟิศ คำถามเกี่ยวกับการจัดการเวลา การออมเงิน หรือการดูแลสุขภาพ ก็มักจะได้รับความสนใจ
ตัวอย่างคำถามที่กระตุ้นความคิด:
- “ทำไมคุณถึงเหนื่อยทั้งที่นอนครบ 8 ชั่วโมง?”
- “รู้หรือไม่? ทำไมเงินเดือนหมดก่อนสิ้นเดือนทุกที”
- “ออมเงินมาตั้งนาน ทำไมยังไม่รวย? นี่คือคำตอบที่คุณต้องรู้”
6. การระบุประโยชน์ที่จับต้องได้

การบอกประโยชน์ที่ผู้อ่านจะได้รับอย่างชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญ คนเราชอบความชัดเจนว่าจะได้อะไรจากการลงทุนเวลาอ่าน เวลาเขียนถึงประโยชน์ ควรเน้นผลลัพธ์ที่เห็นได้จริงและระบุตัวเลขที่ชัดเจน แต่ต้องไม่เกินจริงจนเกินไป เช่น แทนที่จะบอกว่า “รวยภายใน 7 วัน” อาจจะบอกว่า “ประหยัดได้ 1,000 บาทต่อเดือนด้วย 5 วิธีง่ายๆ” จะน่าเชื่อถือกว่า
ตัวอย่างการระบุประโยชน์ที่ดี:
- “ลดค่าไฟได้ 30% ด้วยวิธีที่ทำได้เองที่บ้าน”
- “เพิ่มยอดขายออนไลน์ 50% ภายใน 3 เดือน ด้วยเทคนิคที่ร้านเล็กๆ ก็ทำได้”
- “ประหยัดค่าอาหาร 3,000 บาทต่อเดือน ด้วยวิธีที่ไม่ต้องอดมื้อไหน”
7. การใช้การเปรียบเทียบที่เห็นภาพ

คนเรามักจะเข้าใจอะไรได้ง่ายขึ้นเมื่อมีการเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจน การเปรียบเทียบที่ดีควรใช้สิ่งที่ใกล้ตัวและเข้าใจง่าย เช่น การเปรียบเทียบก่อน-หลัง หรือการเปรียบเทียบระหว่างวิธีเก่ากับวิธีใหม่ แต่ต้องระวังไม่ให้เป็นการดูถูกหรือลดคุณค่าของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ตัวอย่างการเปรียบเทียบที่น่าสนใจ:
- “จากเงินเดือน 15,000 สู่ธุรกิจล้านบาท เส้นทางที่ใครก็ทำได้”
- “เปลี่ยนห้องรกเป็นห้องสวยด้วยงบไม่ถึงพัน Before & After ที่ต้องดู”
- “ร้านกาแฟบ้านๆ VS ร้านในห้าง ใครกำไรมากกว่ากัน?”
8. การใช้คำกระตุ้นให้ลงมือทำ

การใช้คำที่กระตุ้นให้เกิดการกระทำ หรือ Call to Action เป็นเทคนิคสำคัญที่จะทำให้คนตัดสินใจคลิกอ่าน คำพวกนี้ควรสั้น กระชับ และบอกชัดเจนว่าต้องทำอะไร โดยใช้ภาษาที่สร้างแรงจูงใจและความรู้สึกเร่งด่วนแต่ไม่กดดันจนเกินไป
ตัวอย่างคำกระตุ้นการกระทำ:
- “เริ่มต้นวันนี้! สร้างรายได้ออนไลน์ด้วยสิ่งที่คุณถนัด”
- “ดาวน์โหลดฟรี! คู่มือเริ่มต้นธุรกิจร้านค้าออนไลน์”
- “จองด่วน! คอร์สเรียนทำอาหารออนไลน์ รับจำนวนจำกัด”
9. การสร้างเนื้อหาเฉพาะกลุ่ม

การเจาะจงกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนจะทำให้คนที่อยู่ในกลุ่มนั้นรู้สึกว่าเนื้อหานี้ถูกสร้างมาสำหรับพวกเขาโดยเฉพาะ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการได้รับความสนใจมากขึ้น การระบุกลุ่มเป้าหมายควรเฉพาะเจาะจงพอที่จะทำให้คนรู้สึกว่าใช่ตัวเอง แต่ไม่แคบจนเกินไปจนคนส่วนใหญ่รู้สึกว่าไม่เกี่ยวกับตัวเอง
ตัวอย่างการระบุกลุ่มเป้าหมาย:
- “คู่มือมือใหม่หัดขายของออนไลน์ สำหรับคนที่ไม่เคยทำมาก่อน”
- “เคล็ดลับจัดบ้านสไตล์มินิมอล สำหรับคนอยู่คอนโด”
- “10 เมนูอาหารคลีน สำหรับคนทำงานออฟฟิศที่ไม่มีเวลา”
10. การใช้ FOMO อย่างมีศิลปะ

FOMO (Fear Of Missing Out) หรือความกลัวที่จะพลาดโอกาส เป็นจิตวิทยาที่ทรงพลังมากในการสร้างการตัดสินใจ เพราะคนเรามักจะกลัวการพลาดโอกาสดีๆ มากกว่าการได้ประโยชน์เพิ่ม การใช้ FOMO ในการเขียน Clickbait ต้องทำอย่างแยบยล ต้องสร้างความรู้สึกว่ามีโอกาสดีๆ ที่ไม่ควรพลาด แต่ต้องไม่สร้างความกดดันหรือความวิตกกังวลมากเกินไป และที่สำคัญต้องมีของดีจริงๆ มารองรับ
เทคนิคการใช้ FOMO ที่ได้ผล มักจะเกี่ยวข้องกับ:
- การสร้างความรู้สึกว่ามีคนจำนวนมากกำลังได้ประโยชน์จากสิ่งนี้
- การชี้ให้เห็นว่าถ้าพลาดโอกาสนี้ไป อาจต้องรออีกนาน
- การบอกถึงผลเสียที่อาจเกิดขึ้นถ้าไม่รีบตัดสินใจ
11. การใช้ความน่าเชื่อถือจากผู้มีชื่อเสียง

การอ้างอิงถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงหรือผู้เชี่ยวชาญเป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเนื้อหาได้อย่างมาก แต่ต้องเลือกบุคคลที่เหมาะสมและมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาจริงๆ ไม่ใช่แค่ใช้ชื่อดังๆ มาดึงดูดความสนใจ เช่น ถ้าพูดถึงเรื่องการลงทุน ก็ควรอ้างอิงนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ หรือถ้าพูดถึงการสร้างธุรกิจ ก็ควรอ้างอิงเจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจริง
การใช้ความน่าเชื่อถือจากผู้มีชื่อเสียงควรคำนึงถึง:
- ความเกี่ยวข้องกับหัวข้อที่นำเสนอ
- ความน่าเชื่อถือในสายงานนั้นๆ
- การได้รับการยอมรับจากกลุ่มเป้าหมาย
ตัวอย่างที่น่าสนใจ:
- “เผย! 3 หลักการลงทุนที่ทำให้คุณประสบความสำเร็จ”
- “ตามรอยสูตรความสำเร็จของ ตัน ภาสกรนที ที่ใครก็ทำตามได้”
- “เปิดสูตรลับร้านกาแฟดัง จาก บอส เกรซ คนพลิกธุรกิจจากร้านเล็กสู่แฟรนไชส์ระดับประเทศ”
12. การสร้างความแปลกใหม่ที่น่าสนใจ

ในยุคที่ข้อมูลท่วมท้น การนำเสนอมุมมองใหม่ๆ หรือวิธีการที่ไม่เคยมีใครพูดถึงมาก่อน จะช่วยดึงดูดความสนใจได้เป็นอย่างดี ความแปลกใหม่อาจเกิดจากการนำเสนอข้อมูลในมุมที่ไม่คาดคิด การเชื่อมโยงเรื่องที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกัน หรือการท้าทายความเชื่อเดิมๆ ที่คนส่วนใหญ่มี แต่ต้องมีข้อมูลหรือเหตุผลมารองรับอย่างน่าเชื่อถือ
การสร้างความแปลกใหม่ที่น่าสนใจควรมีลักษณะ:
- ให้มุมมองที่แตกต่างจากความเชื่อทั่วไป
- มีข้อมูลหรือหลักฐานสนับสนุนที่น่าเชื่อถือ
- สามารถนำไปใช้ได้จริง
ตัวอย่างที่น่าสนใจ:
- “ไม่ต้องตื่นเช้าก็รวยได้! เปิดความจริงที่ไม่มีใครกล้าบอก”
- “กินข้าวเย็นดึกแล้วผอมได้? เคล็ดลับที่นักโภชนาการไม่อยากให้คุณรู้”
- “ล้างจานช่วยลดความเครียดได้จริงหรือ? ผลวิจัยที่จะเปลี่ยนมุมมองคุณ”
13. การใช้เทคนิคการเล่าเรื่อง

การเล่าเรื่องเป็นวิธีที่ทรงพลังในการดึงดูดความสนใจ เพราะคนเรามักจะจดจำและเข้าใจข้อมูลผ่านเรื่องราวได้ดีกว่าการอ่านข้อเท็จจริงล้วนๆ การเล่าเรื่องที่ดีควรมีองค์ประกอบที่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกอยากติดตามหรือเกิดการ clickbait เช่น มีตัวละครที่น่าสนใจ มีความขัดแย้งหรือปัญหาที่ต้องแก้ไข และมีบทสรุปที่ให้ข้อคิดหรือแง่มุมที่เป็นประโยชน์
องค์ประกอบสำคัญในการเล่าเรื่อง:
- ตัวละครที่ผู้อ่านเข้าถึงได้
- ปมปัญหาที่น่าสนใจ
- การพลิกผันที่น่าติดตาม
- บทสรุปที่ให้คุณค่า
ตัวอย่างที่น่าสนใจ:
- “จากพนักงานออฟฟิศสู่เจ้าของร้านออนไลน์ล้านบาท เส้นทางที่คุณก็ทำได้”
- “หนี้ท่วม เครียดหนัก แต่พลิกชีวิตได้ด้วยวิธีที่ไม่คาดคิด”
- “เด็กขายลูกชิ้นป้ายรถเมล์ สู่นักธุรกิจรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จ”
14. การสร้างความน่าเชื่อถือด้วยข้อมูล

ในยุคที่ข่าวปลอมและข้อมูลเท็จมีมากมาย การนำเสนอข้อมูลที่น่าเชื่อถือจึงเป็นสิ่งสำคัญ การอ้างอิงผลการวิจัย สถิติ หรือข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจและความน่าเชื่อถือให้กับเนื้อหา แต่ต้องระวังไม่ให้ซับซ้อนหรือเข้าใจยากเกินไป ควรนำเสนอในรูปแบบที่เข้าใจง่ายและน่าสนใจ
วิธีนำเสนอข้อมูลให้น่าเชื่อถือ:
- ใช้ข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ
- นำเสนอตัวเลขที่เข้าใจง่าย
- เชื่อมโยงกับชีวิตประจำวัน
ตัวอย่างที่น่าสนใจ:
- “ผลวิจัยชี้! คนไทย 76% กำลังออมเงินผิดวิธี”
- “เปิดสถิติช็อก! พฤติกรรมการใช้เงินที่ทำให้คนไทยไม่รวย”
- “จากงานวิจัย 10 ปี เผยนิสัยที่ทำให้คนประสบความสำเร็จ”
15. การทดสอบและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

การสร้าง Clickbait ที่มีประสิทธิภาพไม่ใช่การคาดเดา แต่ต้องอาศัยการทดสอบและวิเคราะห์ผลอย่างต่อเนื่อง การติดตามว่าพาดหัวแบบไหนได้ผลดี เนื้อหาแบบไหนที่คนอ่านจนจบ และอะไรที่ทำให้คนแชร์ต่อ จะช่วยให้เราพัฒนาการเขียน Clickbait ได้ดียิ่งขึ้น
สิ่งที่ควรติดตามและวิเคราะห์:
- อัตราการคลิก (Click-Through Rate)
- เวลาที่ใช้อ่านเนื้อหา
- อัตราการแชร์และการมีส่วนร่วม
- คอมเมนต์และฟีดแบ็กจากผู้อ่าน
ตัวอย่างที่น่าสนใจ:
- “จาก 100 คลิกเป็น 1,000 คลิก ด้วยเทคนิคที่ใครก็ทำได้”
- “เปลี่ยนยอดวิวธรรมดาให้กลายเป็นยอดขาย ด้วยวิธีที่ได้ผลจริง”
- “พลิกโฉมคอนเทนต์ธรรมดาให้มียอดไลค์หลักหมื่น ด้วยสูตรที่ทดสอบแล้ว”
บทสรุป
การสร้าง Clickbait ที่มีประสิทธิภาพในยุคดิจิทัลเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ต้องอาศัยความเข้าใจในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมผู้บริโภค จิตวิทยาการตลาด และเทคนิคการเขียนที่ดึงดูดความสนใจ ซึ่งทั้ง 15 เทคนิคที่นำเสนอในบทความนี้ล้วนเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้นักการตลาดและผู้สร้างคอนเทนต์สามารถสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจและมีคุณค่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สิ่งสำคัญที่สุดในการทำ Clickbait คือการรักษาสมดุลระหว่างการดึงดูดความสนใจและการรักษาความน่าเชื่อถือ พาดหัวที่น่าสนใจต้องมาพร้อมกับเนื้อหาที่มีคุณภาพ ไม่ใช่แค่การหลอกให้คลิกแต่ต้องส่งมอบคุณค่าที่แท้จริงให้กับผู้อ่าน การสร้างความคาดหวังที่พอดีและการนำเสนอเนื้อหาที่ตรงตามที่สัญญาไว้จะช่วยสร้างความไว้วางใจและความภักดีจากผู้อ่านในระยะยาว
นอกจากนี้ การวัดผลและพัฒนาอย่างต่อเนื่องก็เป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ การติดตามว่าพาดหัวแบบไหนได้ผลดี เนื้อหาแบบใดที่ผู้อ่านชื่นชอบ และการวิเคราะห์พฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย จะช่วยให้เราสามารถปรับปรุงและพัฒนาการสร้าง Clickbait ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะในที่สุดแล้ว ความสำเร็จของ Clickbait ไม่ได้วัดจากจำนวนคลิกเพียงอย่างเดียว แต่วัดจากคุณค่าและความประทับใจที่ผู้อ่านได้รับ ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนของแบรนด์และธุรกิจในระยะยาว