Nattapat

2 มิถุนายน 2025

10 ขั้นตอน เริ่มเปิด Digital Marketing Agency

การเริ่มต้นเปิดบริษัทเอเจนซี่การตลาด(Digital Marketing Agency)เป็นความฝันของใครหลายคน โดยเฉพาะคนที่เคยผ่านการรับงานฟรีแลนซ์ อดีตพนักงานเอเจนซี่ที่เคยทำแบรนด์ให้ลูกค้ามาหลายเจ้า หรืออยากลองสร้างทีมกับเพื่อนๆเพื่อรับงานจากลูกค้ากันเองดูบ้าง แต่พอจะเริ่มจริง กลับเต็มไปด้วยคำถามอย่างควรหาลูกค้าให้ได้ก่อน? หรือสร้างทีมก่อน? จะโฟกัสบริการแบบเฉพาะทางหรือรับงานแบบครบวงจรดี? ต้องมีพอร์ตผลงานไว้แค่ไหนถึงจะเริ่มได้? ถ้าคุณกำลังอยู่ในจุดที่รู้ว่าตัวเองอยากเริ่มธุรกิจ แต่ไม่แน่ใจว่าควรเริ่มตรงไหน บทความนี้คือคำตอบที่คุณกำลังหาอยู่แน่นอนครับ

ในวันนี้ Sixtygram ที่เป็น Digital Marketing Agency จึงได้รวบรวมออกมาเป็นคู่มือ 10 ขั้นตอนสำคัญที่จะพาคุณเข้าใจภาพรวมการเปิดธุรกิจเอเจนซี่ ตั้งแต่การเลือกประเภทเอเจนซี่ การวาง Positioning ไปจนถึงวิธีการหาลูกค้า สร้างทีม และเพิ่มรายได้อย่างยั่งยืน พร้อมประสบการณ์จริงจากเอเจนซี่เรา เพื่อให้คุณไม่ต้องลองผิดลองถูกคนเดียวอีกต่อไป

1. เลือกประเภทเอเจนซี่ให้ชัดเจน

ประเภท Agency การตลาด

ก่อนจะเริ่มรับลูกค้าหรือตั้งทีม สิ่งแรกที่คุณต้องตอบให้ได้คือคำถามที่ว่า เอเจนซี่ของคุณจะเน้นเรื่องอะไร? เพราะคำว่า เอเจนซี่การตลาด(Digital Marketing Agency) เป็นคำกว้างมาก คุณสามารถเลือกโฟกัสในแบบเฉพาะทาง เช่น เอเจนซี่สาย SEO, สายโซเชียลมีเดีย, สายยิงแอด, สายคอนเทนต์, หรือจะเป็นเอเจนซี่แบบครบวงจรที่ให้บริการหลายอย่างก็ได้ 

เอเจนซี่การตลาดแต่ละประเภทมีทั้งข้อดีข้อเสียต่างกัน เช่น เอเจนซี่เฉพาะทางจะบริหารจัดการง่ายกว่า สร้างความเชี่ยวชาญได้ลึกและชัด ส่วนเอเจนซี่แบบครบวงจรจะตอบโจทย์ลูกค้าได้หลากหลาย แต่ต้องใช้ทรัพยากรและทีมที่มากกว่า ดังนั้น เลือกจากสิ่งที่คุณถนัดที่สุด มีความรู้จริง และสามารถวัดผลได้จริง ไม่ใช่แค่เพราะมันดูขายได้ 

ที่สำคัญ ให้พิจารณาความต้องการของตลาดด้วยว่าบริการแบบไหนที่ลูกค้ากำลังหาอยู่ และคุณจะทำให้ดีกว่าคู่แข่งได้อย่างไร เพราะเอเจนซี่ที่รู้ตัวเองตั้งแต่เริ่ม จะมีแต้มต่อและสเกลธุรกิจต่อได้ง่ายและเร็วกว่าเสมอ

2. เลือกกลุ่มตลาด (Niche) ให้เฉพาะทางก่อน

เลือก Niche.jpg

ในโลกของเอเจนซี่การตลาด มีคู่แข่งอยู่มากมายเต็มไปหมด หากคุณเริ่มต้นด้วยการบอกว่าทำได้ทุกอย่าง ทุกกลุ่ม คุณจะกลายเป็นแค่หนึ่งในอีกหลายร้อยที่เหมือนกันหมด ไม่มีจุดขายที่ชัดเจน นั่นทำให้การเลือก Niche หรือกลุ่มเป้าหมายเฉพาะทางตั้งแต่เริ่มต้นจะช่วยให้คุณหาลูกค้าได้ง่ายขึ้น ได้ผลงานเร็วขึ้น และทำให้กระบวนการภายใน (เช่น การทำงาน การประเมินผล) มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะคุณเข้าใจปัญหาและบริบทของลูกค้าในกลุ่มนั้นดีขึ้นเรื่อย ๆ

ลองพิจารณาจากสิ่งที่คุณถนัด เช่น ถ้าคุณหรือทีมที่ชวนกันมาเคยทำ SEO ให้ร้านค้าออนไลน์มาก่อน นั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการโฟกัสที่ E-commerce SEO ก็ได้ หรือถ้าคุณอินกับสายสุขภาพ ฟิตมีน การเลือกกลุ่ม Fitness หรือ Wellness อาจทำให้คุณทำงานสนุกและเข้าใจลูกค้ามากกว่าคนอื่น

อีกทางหนึ่งคือลองดูว่า Niche ไหน มีกำลังจ่าย และ ต้องพึ่งการตลาดออนไลน์สูง เช่น

  • ธุรกิจสุขภาพ (Health & Wellness)
  • การศึกษา (Online Courses, EdTech)
  • องค์กรไม่แสวงหากำไร (NGO, มูลนิธิ)
  • ธุรกิจ SaaS (Software as a Service)
  • ธุรกิจพลังงาน, เทคโนโลยี, หรืออสังหาริมทรัพย์

อย่างไรก็ดี การมี Niche ไม่ได้แปลว่าคุณจะทำได้แค่กลุ่มนั้นตลอดไป แต่คือการเริ่มต้นแบบมีกลยุทธ์ และเมื่อคุณมีผลงานแล้ว คุณสามารถขยายไปยังกลุ่มอื่นได้อย่างมีน้ำหนักมากขึ้นนั่นเอง

3. กำหนดลูกค้าในฝันของคุณ (Ideal Client)

ideal client feature

หลังจากที่คุณเลือกประเภทเอเจนซี่และกลุ่มตลาดเป้าหมายได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการนิยามให้ชัดว่า ใครคือลูกค้าที่คุณอยากร่วมงานด้วยมากที่สุด? เพราะไม่ใช่ทุกคนที่มาขอใบเสนอราคาคือคนที่เหมาะกับบริการของคุณ การสร้างโปรไฟล์ลูกค้าในฝันจะช่วยให้คุณโฟกัสพลังไปกับกลุ่มที่มีโอกาสปิดดีลสูง และตัดสินใจเรื่องสำคัญต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น จะตั้งราคาอย่างไร จะเลือกเสนอแคมเปญแบบไหน และจะทำการตลาดไปหากลุ่มไหนก่อน

สิ่งที่คุณควรถามตัวเองเพื่อสร้าง Ideal Client Profile ได้แก่

  1. ลูกค้าทำธุรกิจในอุตสาหกรรมไหน?
  2. บริษัทของลูกค้ามีขนาดเล็ก กลาง หรือใหญ่?
  3. งบประมาณการตลาดเฉลี่ยของเขาอยู่ที่เท่าไหร่?
  4. มีทีมการตลาดภายในอยู่แล้วหรือไม่?
  5. เขาคาดหวังผลลัพธ์แบบไหน ภายในเวลาเท่าไหร่?
  6. กลุ่มเป้าหมายของเขาคือใคร?
  7. บุคลิกของลูกค้าเป็นแบบไหน (อนุรักษ์นิยม? ทันสมัย? กล้าลองสิ่งใหม่?)

อย่าคิดจากจินตนาการ แต่ควรใช้ข้อมูลจริงที่รีเสิร์ชจากการพูดคุยกับเจ้าของธุรกิจจริง ๆ หรือวิเคราะห์จากลูกค้าที่คุณเคยทำงานด้วย ถ้าคุณรู้จักลูกค้าเป้าหมายอย่างทะลุปรุโปร่ง คุณจะสามารถออกแบบบริการ คำพูด และประสบการณ์ให้ตรงใจเขาได้มากกว่าเอเจนซี่คู่แข่ง

4. เลือกบริการที่คุณมอบให้ลูกค้าอย่างชัดเจน

care client.jpg

เมื่อคุณรู้แล้วว่าลูกค้าในฝันของคุณคือใคร ขั้นตอนต่อไปคือ คุณจะช่วยเขาเรื่องอะไร ผ่านช่องทางไหน? หรือก็คือการนำเสนอผ่านบริการแพ็คเกจที่เอเจนซี่ของคุณจะนำเสนอ ซึ่งเป็นจุดที่หลายคนพลาด เพราะคิดว่ายิ่งให้บริการหลากหลาย ยิ่งดี ทั้งที่ในความเป็นจริง บริการที่เลือกควรสอดคล้องกับสิ่งที่คุณถนัด ร่วมกับสิ่งที่ลูกค้าของคุณกำลังต้องการมันมากที่สุด

ลองเริ่มจาก 2–3 บริการที่คุณมั่นใจว่าทำได้ดี และสามารถวัดผลได้ชัด เช่น
ถ้าเจาะกลุ่ม eCommerce ให้โฟกัส SEO สำหรับสินค้า, ยิงแอด, หรือออกแบบ Landing Page
ถ้าทำกับสายสุขภาพ Wellness อาจเน้นคอนเทนต์การให้ความรู้ผ่านการทำคลิปสั้น TikTok
ถ้าทำกับแบรนด์ B2B ให้ไปแพลตฟอร์มมืออาชีพอย่าง LinkedIn Ads หรือการทำ SEO แบบเชิงลึก

เพื่อให้ง่ายขึ้น เราแนะนำว่าการเลือกบริการแพ็คเกจที่เสนอขาย ควรคิดจาก 4 มุมนี้ ให้ครบถ้วนซึ่งได้แก่

  1. ลูกค้าอยากได้บริการนี้ไหม?
  2. มีคนทำอยู่แล้วมากน้อยแค่ไหน และคุณแตกต่างยังไง?
  3. บริการนี้ขายง่ายไหม? ใช้เวลานานแค่ไหนต่อโปรเจกต์?
  4. คุณสามารถทำให้บริการนี้สร้างรายได้แบบสม่ำเสมอได้หรือไม่?

เมื่อพิจารณามุมมองทั้งสี่เสร็จสิ้น จงจำไว้ว่าการเป็นเจ้าตลาดในบริการเดียว ยังดีกว่าเป็น ร้านสะดวกซื้อที่ใครก็จำไม่ได้แน่นอน ทีนี้ พอคุณชัดเจนในสิ่งที่ขาย ก็จะทำให้การตั้งราคาง่าย การเสนอขายแพ็คเกจก็ง่าย และทำให้ทีมคุณพัฒนาบริการที่จะเสนอขายต่อไปได้เร็วยิ่งขึ้น

5. วางโมเดลการคิดราคา (Pricing Model)

Pricing Model.png

หนึ่งในคำถามสำคัญของการเริ่มต้นเอเจนซี่คือควรตั้งราคาบริการเท่าไหร่? เราจะบอกความลับให้ว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลข แต่คือการกำหนดคุณค่าของงานที่คุณทำ การเลือกรูปแบบการคิดราคาที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณวางแผนรายรับสม่ำเสมอ คุมต้นทุนได้ และทำให้ธุรกิจขยายได้อย่างมั่นคง

โดยทั่วไปแล้วโมเดลราคาที่นิยมใช้มี 3 แบบหลัก ได้แก่ 

  1. การคิดราคาตามชั่วโมง เหมาะกับงานที่มีความไม่แน่นอนสูง เช่น งานให้คำปรึกษาหรือปรับจุดย่อย ซึ่งโปร่งใสและแฟร์กับลูกค้า แต่ข้อเสียคือหากคุณทำงานได้เร็ว จะกลับกลายเป็นว่ารายได้น้อยลง 
  2. คิดเป็นโปรเจกต์ ซึ่งเหมาะกับงานที่มีเป้าหมายและขอบเขตชัดเจน เช่น ทำเว็บไซต์ 1 หน้า ราคา 25,000 บาท เป็นรูปแบบที่ช่วยให้ลูกค้าเห็นภาพจบ และคุณคุมต้นทุนได้ดี 
  3. Retainer คือการเก็บค่าบริการรายเดือน เหมาะกับบริการที่ต้องดูแลต่อเนื่อง เช่น SEO หรือจัดการโซเชียลมีเดีย ข้อดีคือสร้างรายได้สม่ำเสมอ และช่วยสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว

ทั้งนี้ ก่อนจะเลือกใช้โมเดลใด ควรพิจารณาต้นทุนที่แท้จริงของคุณก่อนเสมอ ทั้งในแง่เวลา ทีม และเครื่องมือ รวมถึงความคุ้มค่าที่ลูกค้าจะได้รับจากบริการของคุณ หากบริการของคุณช่วยสร้างยอดขายหลักแสนต่อเดือนให้ลูกค้า ราคาหลักหมื่นย่อมสมเหตุสมผลกว่าการคิดตามจำนวนชั่วโมงอย่างเดียว นอกจากนี้ยังควรมีราคาขั้นต่ำในใจสำหรับแต่ละบริการ เพื่อให้คุณไม่จำเป็นต้องลดราคาจนเสียแบรนด์ดิ้งของเอเจนซี่ในระยะยาว

6. สร้างตัวตนออนไลน์ของเอเจนซี่ด้วย SEO

เอเจนซี่ SEO

ถ้าคุณเป็นเอเจนซี่ที่ให้บริการด้านดิจิทัล แต่เว็บไซต์ของคุณไม่มีใครหาเจอใน Google เลย นั่นเท่ากับคุณกำลังบอกลูกค้าว่าเราทำ SEO ให้คุณได้นะ แต่เว็บเราเองยังไม่ติดอันดับเลย(ฮา) ซึ่งส่งผลต่อความน่าเชื่อถืออย่างมาก นี่จึงเป็นเหตุผลที่เอเจนซี่ควรลงทุนทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ของตัวเองตั้งแต่เริ่มต้นเสมอ

SEO ไม่ใช่แค่การไต่อันดับใน Google แต่คือการแสดงให้เห็นว่าคุณเข้าใจผู้บริโภค เข้าใจวิธีสื่อสารผ่านคอนเทนต์ และมีระบบการวางกลยุทธ์ที่วัดผลได้จริง คุณควรเริ่มจากการวางแผนคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์คำถามของลูกค้า เช่น “เอเจนซี่ควรคิดราคาอย่างไร”, “SEO ใช้เวลากี่เดือนเห็นผล”, หรือ “ทำ Facebook Ads เอง vs จ้างเอเจนซี่ อะไรดีกว่า” เนื้อหาเหล่านี้จะไม่เพียงแต่ดึงคนเข้าเว็บคุณ แต่ยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและลดความลังเลของคนที่กำลังพิจารณาจะจ้างคุณ

อีกมุมหนึ่งที่มักถูกมองข้ามคือ การเขียนบทความที่ลึกขึ้น เจาะประเด็นที่คู่แข่งคุณน่าจะอ่านมากกว่าลูกค้า เช่น เทคนิค On-page SEO แบบอัปเดต หรือวิธีวิเคราะห์ CTR ผ่าน GA4 แม้คนทั่วไปอาจไม่สนใจเนื้อหานี้ แต่ Search Engine จะมองว่าคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญ และจัดอันดับให้เว็บไซต์ของคุณดีขึ้นในภาพรวม

ดังนั้น จงดูแลเว็บไซต์ตัวเองให้ดี เหมือนดูแลลูกค้า เพราะเว็บไซต์คุณคือผลงานชิ้นแรกที่ลูกค้าจะเห็นก่อนจะตัดสินใจคุยกับคุณเสียอีก

7. สร้างทีมเอเจนซี่ที่เก่งและไปด้วยกันได้

ทีมเอเจนซี่เก่ง

แม้ว่าคุณจะเริ่มต้นเอเจนซี่แบบคนเดียวได้(Solo Entrepreneur) แต่เมื่อเริ่มมีลูกค้าเข้ามาหลายเจ้า หรือบริการที่คุณนำเสนอกว้างขึ้น การมีทีมที่ไว้ใจได้จะกลายเป็นหัวใจสำคัญในการขยายธุรกิจ โดยเฉพาะหากคุณต้องการรักษาคุณภาพงานให้ดีอย่างต่อเนื่อง การสร้างทีมไม่ใช่แค่การหาคนเก่ง แต่คือการหาคนที่ เข้าใจคุณเข้าใจลูกค้าและเข้าใจเป้าหมายของเอเจนซี่ในระยะยาว

คุณสามารถเริ่มจากการจ้างฟรีแลนซ์แบบรายโปรเจกต์ ทั้งจาก Upwork หรือ Fastwork เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย Fixed cost ซึ่งเมื่อระบบภายในเริ่มนิ่ง และคุณมั่นใจว่ามีงานต่อเนื่องเพียงพอ ค่อยขยับมาสู่การจ้างพนักงานประจำ ซึ่งอาจเป็นแบบ Remote(WFH) ก็ย่อมได้ 

เพื่อประหยัดค่าเช่าสำนักงานในช่วงเริ่มต้น เวลาคิดเรื่องการจ้างงาน อย่ามองแค่ใครเก่งอะไร แต่ควรคิดว่าใครมาเติมเต็มสิ่งที่คุณยังไม่ถนัดได้ ขอยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณถนัดกลยุทธ์และคอนเทนต์ อาจเริ่มจ้างคนที่ทำกราฟิก วิดีโอ หรือยิงแอดได้ดี รวมถึงต้องพิจารณาด้วยว่า บางตำแหน่งควรให้มืออาชีพมาดูแลทั้งหมดเลย (เช่น Paid Ads หรือ SEO Off-page) ขณะที่บางตำแหน่งสามารถให้ Junior เริ่มต้น แล้วค่อยๆ เติบโตไปพร้อมกับเอเจนซี่ได้

ทั้งนี้ อย่าลืมเรื่องสำคัญที่หลายคนมองข้าม แต่เป็นสิ่งที่ Sixtygram Agency เราให้ความสำคัญเสมอ คือการสร้างวัฒนธรรมองค์กรตั้งแต่เริ่มต้น เพราะทีมที่มี Culture ชัด จะเหนียวแน่นกว่า ทำงานสนุกกว่า และดึงดูดคนที่มีแนวคิดเดียวกันได้ง่ายขึ้น ลองเขียน Core Values 3–5 ข้อที่คุณอยากให้ทีมยึดถือ เช่น โปร่งใส, กล้าทดลอง, ไม่ขายของแบบหลอกลวง หรือทำงานร่วมกันแบบไร้ลำดับอวุโส ค่านิยมเหล่านี้จะกลายเป็นเข็มทิศในการรับสมัครคน การตัดสินใจ และการทำงานร่วมกันในระยะยาว

8. โชว์รีวิวเคสจริงและเสียงตอบรับจากลูกค้า

case review marketing agency.jpg

ในช่วงเริ่มต้นของเอเจนซี่ ไม่มีอะไรสร้างความน่าเชื่อถือได้ดีไปกว่าการแสดงให้เห็นว่า เราทำได้จริง ไม่ว่าจะผ่านผลงานที่เคยทำ หรือเสียงจากลูกค้าที่เคยร่วมงานด้วย เพราะไม่ว่าคุณจะพูดเองว่างานดีแค่ไหน ก็ไม่เท่ากับให้ผลลัพธ์จากลูกค้าจริงๆของคุณเป็นคนพูดแทน

คุณควรเริ่มต้นจากการเขียน เคสสตั๊ดดี้ (Case Study) ทุกครั้งที่ได้ผลลัพธ์ใน Report ที่น่าสนใจเมื่อส่งให้กับลูกค้า แม้จะเป็นงานเล็ก ๆ ก็ตาม 

พยายามโฟกัสที่ กระบวนการทำงานและผลลัพธ์ที่ออกมาให้มากกว่าการโชว์ตัวเลขเวอร์ ๆ แบบไม่อธิบายอะไรเลย เช่น แทนที่จะบอกว่า “ยอดขายเพิ่ม 300%” ควรเล่าว่าคุณทำอะไรบ้าง, แก้ Pain Point ไหนไปแล้ว ใช้ระยะเวลากี่เดือน และส่งผลต่อธุรกิจเขาอย่างไรแทน ให้มีทั้งข้อมูล ภาพประกอบ และความเข้าใจในบริบทของงานนั้นจริง ๆ

ขณะเดียวกัน คุณควรเริ่มเก็บ รีวิวจากลูกค้า ตั้งแต่โปรเจกต์แรก ไม่ว่าจะสั้นหรือยาว ขอให้เป็นของจริง และถ้าลูกค้ากล้าพูดถึงทีมของคุณด้วยชื่อบุคคล ยิ่งทำให้ความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นทันที สำหรับคนที่เคยทำงานฟรีแลนซ์มาก่อน ก็สามารถรวบรวมรีวิวจากแพลตฟอร์มอย่าง Fastwork, Upwork หรือ LinkedIn มาใช้ได้เช่นกัน

9: วางระบบ Lead Generation ให้ธุรกิจเดินได้เองทุกเดือน

Lead Generation.jpg

ไม่ว่าคุณจะมีบริการดีแค่ไหนหรือทีมเก่งเพียงใด ถ้าไม่มีคนรู้จักเอเจนซี่ของคุณ ธุรกิจก็จะไม่เดินหน้าต่อ การวางระบบหาลูกค้า (Lead Generation) จึงเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่สุดที่ต้องวางตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น และ การหา Lead ที่เรากำลังพูดถึงนี้ไม่ใช่แค่โพสต์บนเฟซบุ๊กหวังให้คนทัก แต่ต้องเป็นระบบที่สร้างโอกาสได้ Lead ใหม่ๆ ได้ทุกเดือน

คุณสามารถใช้หลายวิธีควบคู่กัน เช่น การออกไป สร้างคอนเนคชัน ผ่าน LinkedIn หรืออีเวนต์ธุรกิจต่าง ๆ โดยเริ่มจากการพูดคุยเพื่อเข้าใจความต้องการของอีกฝ่าย ไม่ใช่ทักไปขายของทันที การทำ Cold Outreach เช่น การส่งอีเมลไปยังธุรกิจที่อาจมีปัญหาที่คุณช่วยได้ ก็เป็นอีกวิธีที่ยังเวิร์กถ้าเขียนเนื้อหาให้ชัด กระชับ และตรงประเด็น 

ทั้งนี้ ควรมีระบบติดตามผลที่วัดผลได้เสมอ เช่น การใช้ CRM หรือระบบ Automate Email Marketing เพื่อดูว่าลูกค้าเปิดอีเมล ตอบกลับ หรือคลิกอ่านอะไรบ้าง 

นอกจากนี้ ยังสามารถใช้การ ยิงแอดแบบ Targeted และ Retargeting เพื่อให้เข้าถึงคนที่กำลังสนใจบริการของคุณอยู่แล้ว โดยเฉพาะถ้าเว็บไซต์คุณมี SEO ที่ดีอยู่แล้ว การยิงแอดไปหา Traffic กลุ่มนี้จะได้ ROI ที่สูงกว่าปกติ และสุดท้าย อย่ามองข้ามการจับมือกับเอเจนซี่สายอื่นที่บริการเสริมกันได้ เช่น เอเจนซี่เว็บดีไซน์อาจส่งลูกค้ามาให้คุณในสายคอนเทนต์หรือ SEO และคุณก็ส่งกลับให้เค้าเพื่อเป็นการตอบแทนกันได้เมื่อมีโอกาส (ที่ Sixtygram เราก็รับพาร์ทเนอร์อยู่นะ)

10. ขยายจากลูกค้าเดิมให้เป็นรายได้ระยะยาว

old vs new client

หลายเอเจนซี่เน้นแต่การหาลูกค้าใหม่จนลืมไปว่า ลูกค้าเก่าคือคนที่ใกล้ปิดการขายที่สุด เพราะพวกเขารู้จักคุณแล้ว เชื่อใจคุณแล้ว และที่สำคัญที่สุดคือ เขาเคยจ่ายเงินจริงมาแล้ว การเพิ่มรายได้จากลูกค้าเดิมจึงไม่ใช่แค่โบนัส แต่น่าจะกลายเป็นกลยุทธ์หลักของคุณด้วยซ้ำในการรักษาพวกเขาไว้

เริ่มจากการสังเกตพฤติกรรมและผลลัพธ์ของลูกค้า หากคุณทำ SEO ให้แล้ว Traffic เริ่มขึ้น แต่ลูกค้ายังไม่มีระบบแปลงลูกค้า (Conversion) คุณอาจแนะนำให้ทำ Landing Page ปิดการขายเพิ่ม หรือเริ่มใช้ E-mail Marketing เพื่อดึงคนกลับมา 

หรือ ถ้าคุณดูแลโซเชียลให้ลูกค้าอยู่ แล้วเห็นว่า Engagement ดี แต่ยอดขายยังไม่มา อาจเสนอ Paid Ads เพิ่มเพื่อดันยอดขายให้ชัดเจน หรือหากลูกค้ากำลังจะจบสัญญา ลองวางแผนระยะถัดไปล่วงหน้าให้เลย เช่น เสนอ Roadmap 3 เดือนต่อ พร้อมราคาและผลลัพธ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น

อีกหนึ่งเทคนิคที่ควรมีตั้งแต่ต้นคือการสร้าง “เส้นทางบริการต่อยอด” (Service Ladder) เช่น เริ่มจากบริการขนาดเล็ก ราคาย่อมเยา พอได้ผลดีแล้วค่อยเสนอแพ็กเกจที่ใหญ่ขึ้น มีบริการมากขึ้น โดยใช้ผลลัพธ์จริงมาเป็นจุดขาย สิ่งนี้จะช่วยให้คุณค่อย ๆ ขยับรายได้ต่อหัว (Average Revenue Per Client) เพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องหาลูกค้าใหม่ตลอดเวลา

สุดท้าย อย่าลืมเรื่องความสัมพันธ์กับลูกค้า(CRM) เพราะลูกค้าที่รู้สึกว่าเอเจนซี่ของคุณกำลังคิดให้ตลอดเวลาและไม่หยุดพัฒนา จะกลายเป็นทั้ง ลูกค้าที่อยู่กับคุณยาว และ แหล่งแนะนำลูกค้าใหม่ ที่ทรงพลังที่สุด

สรุปส่งท้าย

ภาพ Jobs และ Wozniak ผู้ร่วมก่อตั้ง Apple
ภาพ Jobs และ Wozniak ผู้ร่วมก่อตั้ง Apple

การเริ่มต้นเอเจนซี่การตลาดอาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินไปสำหรับคนที่มีความตั้งใจ เพียงรู้ว่าเป้าหมายของตัวเองคืออะไร ทุกเอเจนซี่การตลาดและบริษัทโฆษณาที่ประสบความสำเร็จในวันนี้ ล้วนเคยเป็นเพียงแค่ความคิดเล็ก ๆ ในหัวของใครสักคนมาก่อน และถ้าคุณกำลังเริ่มต้นอยู่ตอนนี้ เราอยากบอกว่าคุณไม่ได้เดินคนเดียวบนเส้นทางนี้

เปิด Digital Marketing Agency

สำหรับในวันนี้ Sixtygram Agency เราหวังว่าเนื้อหา 10 ขั้นตอนนี้จะช่วยให้คุณเห็นภาพชัดขึ้น เข้าใจโครงสร้างธุรกิจมากขึ้น และกล้าเริ่มต้นด้วยความมั่นใจ และถ้าคุณกำลังอยู่ในจุดที่ อยากเริ่มแต่ยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มจากจุดไหน ลองทักมาคุยกับเราได้เลย ไม่ว่าจะเพื่อปรึกษาเรื่องแผนธุรกิจ วางโครงสร้างบริการ หรือแม้แต่เป็นพาร์ทเนอร์ร่วมกันในบางโปรเจกต์

เราคือ Sixtygram บริษัทเอเจนซี่การตลาดครบวงจร ที่เชื่อในการเติบโตไปด้วยกัน ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่ม หรือกำลังมองหาทีมเสริม เราพร้อมช่วยคุณสร้างเอเจนซี่ให้แข็งแรง มีทิศทาง และยืนระยะในตลาดได้จริง พร้อมเมื่อไหร่เรายินดีรับฟังเสมอ

Let’sBuildYourAgencyTogether