หากเปรียบเว็บไซต์เป็นร้านค้าที่อยู่ในทำเลทองบนโลกออนไลน์ การเขียนคอนเทนต์ดี การวางแผนคีย์เวิร์ดแม่น และการออกแบบ UX/UI ที่สวยงาม อาจช่วยดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาเยี่ยมชม แต่หากเบื้องหลังร้านมีระบบที่ช้า โหลดไม่ทัน มีจุดอับที่ Google เข้าไม่ถึง หรือข้อมูลถูกอ่านผิด ต่อให้หน้าร้านจะดูดีแค่ไหน ก็อาจไม่ติดอันดับ และสูญเสียลูกค้าไปแบบไม่รู้ตัว
นี่คือเหตุผลว่าทำไม Technical SEO จึงกลายเป็นแกนกลางที่ทำให้ Google เข้าใจเว็บไซต์ของคุณ และแสดงผลได้อย่างถูกต้องในหน้าแรกของการค้นหา ในวันนี้ Sixtygram จะพาคุณเจาะลึกว่า Technical SEO คืออะไร? ส่งผลอย่างไรกับอันดับเว็บไซต์? มีจุดไหนที่ควรตรวจสอบ? และคุณควรเริ่มปรับปรุงจากตรงไหนก่อน เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณพร้อมใช้งานทั้งสำหรับผู้ใช้ และพร้อมเข้าใจสำหรับ Google กันครับ
Technical SEO คืออะไร?

Technical SEO คือการปรับปรุงโครงสร้างทางเทคนิคของเว็บไซต์ เพื่อให้สามารถถูกค้นพบ (Crawl) เข้าใจ (Understand) และจัดเก็บข้อมูล (Index) ได้อย่างถูกต้องโดย Search Engine อย่าง Google โดยที่ไม่ต้องแตะเนื้อหาในเชิงคอนเทนต์เลยแม้แต่นิดเดียว
จุดมุ่งหมายของ Technical SEO คือการทำให้เว็บไซต์อ่านง่ายและเข้าได้ถึงง่ายที่สุด สำหรับทั้งผู้ใช้งานและบอทของ Google ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเร็วเว็บไซต์ (Page Speed), การรองรับบนมือถือ (Mobile-Friendly), ความปลอดภัย (HTTPS), การตั้งค่าโครงสร้าง URL, การทำ XML Sitemap, การใช้ Robots.txt, ไปจนถึงการจัดการกับเนื้อหาซ้ำซ้อน (Duplicate Content) หรือข้อผิดพลาดต่าง ๆ ที่อาจส่งผลต่อการจัดอันดับ
ทำไม Technical SEO ถึงสำคัญ?

ความสำคัญของ Technical SEO คือการเป็นรากฐานของเว็บไซต์ หากเปรียบ SEO เป็นบ้าน Technical SEO ก็คือโครงสร้างเสาและฐานราก หากจุดนี้ไม่มั่นคง ต่อให้คอนเทนต์ดีแค่ไหน หรือมีแบคลิงก์มากเท่าไหร่ โอกาสติดอันดับในระยะยาวก็จะสั่นคลอนได้ง่าย กล่าวอีกแบบ Technical SEO ไม่ใช่แค่เรื่องของโปรแกรมเมอร์ แต่มันคือ พื้นฐานการตลาดที่เว็บไซต์ยุคใหม่ทุกแห่งควรให้ความสำคัญตั้งแต่วันแรกที่เริ่มสร้างเว็บ
ปัญหาเชิงเทคนิคที่พบบ่อยในเว็บไซต์
ปัญหาเชิงเทคนิค (Technical Issues) เหล่านี้มักไม่สามารถสังเกตได้จากภายนอก และมักจะเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะในเว็บไซต์ที่ไม่มีการตรวจสอบเป็นประจำ ซึ่งต่อไปนี้คือปัญหาสำคัญที่เราพบบ่อยกับลูกค้าของ Agency เราซึ่งเราอยากแบ่งปันให้คุณได้เรียนรู้และคอยระวัง
อาการเว็บไซต์โหลดช้า

หนึ่งในปัญหาคลาสสิกที่พบได้บ่อยคือ เว็บไซต์โหลดช้า ไม่ว่าจะเกิดจากภาพที่มีขนาดใหญ่เกินไป โค้ด HTML/CSS/JS ที่ไม่ถูก minify หรือไม่ได้เปิดใช้ Caching และ CDN ความล่าช้าเพียงไม่กี่วินาทีอาจส่งผลให้ผู้ใช้กดปิดหน้าเว็บทันที เพิ่ม Bounce Rate และส่งสัญญาณลบไปยัง Google ว่าเว็บไม่ตอบโจทย์ผู้ใช้
เจอ Duplicate Content

อีกปัญหาหนึ่งที่อันตรายไม่แพ้กันคือ Duplicate Content หรือเนื้อหาซ้ำซ้อน ไม่ว่าจะมาจาก URL ซ้ำกันหลายรูปแบบ, หน้าเพจที่คล้ายกันเกินไป, หรือการใช้ canonical tag ไม่ถูกต้อง ซึ่งอาจทำให้ Google สับสนว่า “จะเลือกหน้าไหนไปแสดงผลดี?” ส่งผลให้ทั้งสองหน้าถูกลดความสำคัญไปพร้อมกัน
เปิดในมือถือแล้วแย่

ปัญหาเรื่อง Mobile Optimization ก็เป็นอีกประเด็นที่มักถูกมองข้าม เว็บไซต์ที่ไม่ responsive หรือมีปุ่มเล็กเกินไปบนมือถือ จะสร้างประสบการณ์ใช้งานที่แย่ และในยุคที่ Google ใช้ mobile-first indexing เป็นเกณฑ์หลัก เว็บไหนที่ยังไม่พร้อมสำหรับผู้ใช้มือถือก็มีแนวโน้มจะหลุดอันดับได้ง่าย
Bot เข้าไม่ถึงเว็บไซต์

ท้ายที่สุด ปัญหาที่ร้ายแรงที่สุดคือ Bot เข้าไม่ถึงเว็บไซต์ ไม่ว่าจะมาจากการตั้งค่า Robots.txt ที่บล็อกผิดหน้า, การใช้ noindex อย่างไม่ระวัง, หรือ Sitemap ที่หายไป ซึ่งทำให้ Google ไม่สามารถเข้ามาเก็บข้อมูลจากเว็บไซต์ของคุณได้เลย
การแก้ไขปัญหาเหล่านี้จึงไม่ใช่แค่การเพิ่มประสิทธิภาพ แต่คือการปลดล็อกให้ Google และผู้ใช้งานเข้าถึงเว็บไซต์ได้อย่างสมบูรณ์ เป็นก้าวแรกที่ทำให้ SEO ทั้งระบบสามารถทำงานได้เต็มศักยภาพ
การปรับปรุง Technical SEO
แม้ Technical SEO จะดูเหมือนเรื่องเฉพาะทางของ Developer แต่ความจริงแล้ว คนทำเว็บไซต์และนักการตลาดทุกคนสามารถตรวจสอบและปรับปรุงได้ด้วยเครื่องมือพื้นฐานที่ใช้งานง่าย และเช็กลิสต์ที่มีเป้าหมายชัดเจน Sixtygram จึงได้สรุปรวมมาให้แล้วว่าคุณควรเริ่มจากตรงไหน พร้อมด้วยเครื่องมือ และเช็กลิสต์เบื้องต้นที่ช่วยสนับสนุนการตรวจสอบเว็บไซต์ของคุณแต่ละจุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
ปัญหาเชิงเทคนิคที่พบบ่อยในเว็บไซต์
ปัญหาเชิงเทคนิค (Technical Issues) เหล่านี้มักไม่สามารถสังเกตได้จากภายนอก และมักจะเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะในเว็บไซต์ที่ไม่มีการตรวจสอบเป็นประจำ ซึ่งต่อไปนี้คือปัญหาสำคัญที่เราพบบ่อยกับลูกค้าของ Agency เราซึ่งเราอยากแบ่งปันให้คุณได้เรียนรู้และคอยระวัง
1. ใช้ Google Search Console ก่อนเป็นอันดับแรก
จุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดคือการรู้ว่า “Google มองเว็บไซต์ของคุณอย่างไร” ซึ่งสามารถทำได้ผ่าน Google Search Console เครื่องมือนี้เปรียบเหมือนศูนย์รายงานสุขภาพของเว็บไซต์ ที่จะแจ้งเตือนคุณทันทีหากมีหน้าถูก block โดย robots.txt, มีปัญหา indexing หรือมีข้อผิดพลาดด้าน mobile usability
2. เช็ค PageSpeed
ถัดมาคือการวิเคราะห์ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ และเช็ค Mobile-Friendly ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อทั้งผู้ใช้และอันดับ SEO เครื่องมืออย่าง PageSpeed Insights หรือ Lighthouse จาก Google จะช่วยวิเคราะห์ว่าเว็บไซต์ของคุณช้าจากจุดใด อาจเป็นเพราะรูปภาพขนาดใหญ่ โค้ดที่โหลดซ้ำซ้อน หรือยังไม่ได้ใช้ caching และ lazy load การปรับปรุงในจุดเหล่านี้ไม่เพียงทำให้ Google ประเมินเว็บไซต์คุณดีขึ้น แต่ยังทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าเว็บโหลดไว และใช้งานในทุกอุปกรณ์ได้ลื่นไหลโดยไม่มีสะดุด
3. เช็คว่าการ crawl เว็บไซต์เป็นปกติ
เมื่อโครงสร้างเว็บไซต์เติบโตขึ้น อาจมีหน้าเพจหลายระดับ เกิด URL ที่ซับซ้อน หรือเนื้อหาซ้ำซ้อนโดยไม่ตั้งใจ เครื่องมืออย่าง Screaming Frog SEO Spider จะช่วยให้คุณ crawl เว็บไซต์แบบละเอียดเพื่อดูว่า title, meta description, canonical tag, status code หรือ internal link มีความผิดปกติหรือไม่ และยังสามารถ export รายงานออกมาให้ทีมพัฒนาแก้ไขได้ง่าย
4. ลบคอนเทนต์ที่ส่งผลร้าย
เว็บไซต์จำนวนมากประสบปัญหาเนื้อหาซ้ำ (Duplicate Content) โดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นหน้าเดียวกันที่มีหลาย URL หรือเพจสินค้าที่เปลี่ยนแค่ชื่อ SKU การใช้เครื่องมืออย่าง Ahrefs หรือ SEMrush จะช่วยให้คุณวิเคราะห์โครงสร้าง URL, ตรวจจับลิงก์เสีย (Broken Links), และวางกลยุทธ์การ canonical ให้ถูกต้อง นอกจากนี้ หากเว็บไซต์ของคุณเปิดใช้งาน HTTPS แล้ว แต่ยังมีบางหน้าโหลดแบบไม่เข้ารหัส เครื่องมือเช่น SSL Checker จะช่วยตรวจสอบและแนะนำการติดตั้ง SSL Certificate อย่างถูกต้อง เพื่อไม่ให้เกิด “หน้าไม่ปลอดภัย” บนเบราว์เซอร์
5. เพิ่มพลังด้วย Structured Data
อีกหนึ่งฟีเจอร์สำคัญของ Technical SEO คือการใช้ Structured Data หรือ Schema Data เพื่อให้ Google เข้าใจประเภทข้อมูลในเว็บไซต์ เช่น รีวิว, ผลิตภัณฑ์, หรือ FAQ การใช้เครื่องมือ Rich Results Test หรือ Schema Validator จะช่วยให้คุณตรวจสอบว่าโค้ด schema ที่ใส่ไปมีปัญหาหรือไม่ และสามารถแสดงผลแบบ Rich Snippet ได้จริงหรือเปล่าในหน้าผลลัพธ์การค้นหา
6. ติดตั้งปลั๊กอิน Technical Seo ให้พร้อม
หากคุณใช้ WordPress ข่าวดีคือคุณสามารถติดตั้งปลั๊กอิน SEO ตัวแรงอย่างเช่น RankMath หรือ Yoast SEO เพื่อช่วยจัดการสิ่งเหล่านี้ได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยปลั๊กอินเหล่านี้จะมีฟีเจอร์ที่ช่วยตรวจสอบ Title, Meta, Canonical, Sitemap, และ robots.txt แบบอัตโนมัติ และเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ถนัดเขียนโค้ดด้วยตนเอง
การปรับปรุง Technical SEO จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการแก้ปัญหาเฉพาะจุด แต่คือ การสร้างโครงสร้างรองรับที่มั่นคงให้เว็บไซต์ของคุณสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยเริ่มจากพื้นฐานอย่าง Sitemap ที่อัปเดตเสมอ, URL ที่ชัดเจนไม่ซับซ้อน, โครงสร้างลิงก์ที่มีเหตุผล, ไปจนถึงความเร็ว ความปลอดภัย และการเข้าถึงจากทุกอุปกรณ์ ทุกสิ่งเหล่านี้คือองค์ประกอบที่ทำให้ Google เข้าใจเว็บไซต์คุณได้ดีขึ้น และเมื่อ Google เข้าใจถูกต้อง โอกาสที่เว็บไซต์ของคุณจะขึ้นอันดับดีในผลการค้นหาก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น