Amintra

14 ตุลาคม 2025

SEO คืออะไร? สำคัญอย่างไร เมื่ออยากติดหน้าแรกบน Google

SEO คืออะไร?

SEO คืออะไร?

SEO ย่อมาจากคำว่า Search Engine Optimisation คือกระบวนการในการปรับปรุงเว็บไซต์(Optimisation)ให้ทรงคุณค่าในสายตาของเครื่องมือค้นหา(Search Engine) อย่าง Google, Bing ไปจนถึงการแสดงผลบน ChatGPT ที่เมื่อผู้คนมักค้นหาด้วยคำ(Keyword) เว็บไซต์ที่ทำ SEO ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับคำค้นหานั้นๆ ได้ดีจะมีอันดับและได้รับการแสดงผลอยู่ในผลลัพธ์(SERP)ด้านบนเหนือเว็บไซต์คู่แข่งอื่น ๆ เสมอ

โดยรวมแล้วการทำ SEO จะเกี่ยวข้องกับการทำเนื้อหาคอนเทนต์ เช่น การปรับปรุงเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์(Page) การทำบทความ(Post) การใช้ลิงก์อ้างอิงเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ(referring links), การโค้ดดิ้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ และการปฎิบัติตามหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ของเครื่องมือค้นหาอย่าง ข้อกำหนดทางเทคนิค นโยบายสแปม แนวทางปฏิบัติแนะนำที่สำคัญ ของ Google Search Essentials เป็นต้น

ความสำคัญของการทำ SEO

ทุกธุรกิจย่อมต้องการช่องทางหรือแพลตฟอร์มเพื่อขายสินค้าและบริการที่ทรงพลัง และไม่ต้องคอยแบ่งรายได้เป็นค่าธรรมเนียมให้แพลตฟอร์มบุคคลที่สามอย่าง เช่น Shopee, Facebook ไปจนถึง Fastwork ที่ซึ่งหลายธุรกิจต้องพึ่งลูกค้า(User) ที่เหล่าแพลตฟอร์มเหล่านี้ทำการตลาดเพื่อจัดหามามอบให้ ซึ่งวันดีคืนดี เหล่าแพลตฟอร์มตัวกลางเหล่านี้อาจขึ้นค่าธรรมเนียม บังคับจ่ายค่าโฆษณา หรือคิดค้นวิธีหารายได้จากร้านค้าที่มาพึ่งพาแพลตฟอร์มของพวกเขาได้อย่างอิสระ

SEO Stat

ด้วยเหตุนี้การเลือกเปิดเว็บไซต์เองที่มีความสามารถด้าน SEO ในการดึงดูดลูกค้าให้รับชม(Website Traffic) ด้วยการติดอันดับในผลลัพธ์การค้นหา(SERP)ในหน้าแรกให้ได้ยอดผู้เข้าชมแบบธรรมชาติ(Organic Traffic) จะสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในระยะยาว และทำการตลาดได้มากกว่า

SEO จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง หากคุณต้องการที่จะได้รับยอดผู้เข้าใช้งานเว็บไซต์ฟรี ซึ่งเข้าชมเนื้อหาสินค้าหรือบริการบนเว็บไซต์คุณอย่างเป็นธรรมชาติ โดยหากอ้างอิงจากสถิติการค้นหาของ Google ในปี 2025 มีผู้ใช้งานการค้นหากว่า 4.8 พันล้านครั้งต่อวัน หรือราว 144 พันล้านครั้งต่อเดือน จากทั่วทุกมุมโลก ซึ่ง 65% ของผู้ใช้ มักคลิกผลการค้นหาแบบ Organic ที่ขึ้นมาบน SERP

SEO vs SEM ต่างกันอย่างไร

SEO vs SEM

แม้ทั้ง SEO และ SEM จะมีเป้าหมายเดียวกันคือเพื่อเพิ่มการมองเห็นของเว็บไซต์บนหน้าผลการค้นหา (Search Engine) แต่แนวทางและจังหวะการเห็นผลแตกต่างกันอย่างชัดเจน กล่าวคือ

SEO (Search Engine Optimization) คือการปรับแต่งเว็บไซต์ให้เป็นมิตรกับเครื่องมือค้นหาแบบธรรมชาติ เน้นสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์คำค้น (Keyword) และสร้างความน่าเชื่อถือให้ Google มองว่าเว็บไซต์มีคุณค่า ผลลัพธ์ที่ได้คือ ทราฟฟิกแบบ Organic ซึ่งฟรีและยั่งยืนในระยะยาว แต่ต้องใช้เวลาและความต่อเนื่องในการทำ

SEM (Search Engine Marketing) คือการทำการตลาดผ่านเครื่องมือค้นหาโดยใช้ โฆษณาแบบชำระเงิน (Paid Ads) เช่น Google Ads เพื่อดันเว็บไซต์ให้แสดงบนหน้าผลการค้นหาทันที SEM จึงเหมาะกับธุรกิจที่ต้องการผลลัพธ์รวดเร็ว เช่น การเปิดตัวสินค้าใหม่ หรือแคมเปญโปรโมชั่นระยะสั้นนั่นเอง

การแสดงผลของ SEO

เมื่อผู้ใช้ค้นหาคำใดคำหนึ่งใน Google ระบบจะแสดงผลลัพธ์ออกมาบนหน้าค้นหา(SERP) อ่านเรื่อง SERP เพิ่มเติม
เราสามารถแบ่งการแสเงผล การแสดงผลใน SERP เมื่อทำ SEO ได้เป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่

1. ผลลัพธ์แบบเสียเงิน (Paid Result หรือ PPC)
Paid Result คือโฆษณาที่ผู้ลงโฆษณาชำระเงินให้ Google เพื่อให้เว็บไซต์ของตนปรากฏอยู่ด้านบนสุดของหน้าผลลัพธ์ โดยจะมีสัญลักษณ์ Ad แสดงไว้หน้าชื่อเว็บไซต์ ซึ่งเหมาะกับธุรกิจที่ต้องการผลลัพธ์รวดเร็ว เช่น แคมเปญส่งเสริมการขายหรือเปิดตัวสินค้าใหม่

2. ผลลัพธ์แบบธรรมชาติ (Organic Results หรือ SEO)
Organic Results คือเว็บไซต์ที่ได้อันดับจากการปรับแต่ง SEO โดยไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณา ระบบของ Google จะจัดอันดับเว็บไซต์เหล่านี้จากคุณภาพของเนื้อหา ความเกี่ยวข้องกับคำค้นหา (Keyword Relevance) ความน่าเชื่อถือของลิงก์ (Backlink Authority) และประสบการณ์การใช้งานของผู้เข้าชม (User Experience)

SERP

โดยในภาพตัวอย่างนี้จะเห็นได้ว่า ผลลัพธ์ด้านบนสุดเป็นโฆษณาแบบจ่ายเงิน (PPC) ส่วนลำดับถัดมาคือเว็บไซต์ที่ติดอันดับแบบ Organic เช่น Moz และ Wikipedia ซึ่งได้อันดับด้วยการทำ SEO อย่างมีประสิทธิภาพ แสดงให้เห็นว่า SEO คือเส้นทางสู่การมองเห็นอย่างยั่งยืนในระยะยาว ขณะที่ SEM หรือการลงโฆษณา เป็นกลยุทธ์เร่งผลลัพธ์ในระยะสั้น

สถิติน่าสนใจเกี่ยวกับการ Search

สถิติน่าสนใจเกี่ยวกับการ Search

จากสถิติของ Highervisibility พบว่าผู้ใช้งานส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ที่อยู่ในหน้าแรกของ Google อย่างมาก โดยกว่า 95% ของผู้ใช้จะคลิกเฉพาะลิงก์ที่อยู่ในหน้าแรกเท่านั้น ซึ่งแปลว่าเว็บไซต์ที่ไม่ติดหน้าแรกแทบจะไม่มีโอกาสถูกเห็นเลย ในขณะที่ เว็บไซต์อันดับหนึ่งได้รับอัตราการคลิกสูงสุดถึง 32% ตามมาด้วยอันดับสองที่เพียง 16% และอันดับสามลดลงเหลือประมาณ 10% เท่านั้น

นอกจากนี้ยังมีเพียง 1% ของผู้ใช้เท่านั้นที่กดไปดูหน้าผลการค้นหาหน้าถัดไป สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการทำ SEO เพื่อผลักดันเว็บไซต์ให้ติดอันดับในหน้าแรกของ SERP ให้ได้ โดยเฉพาะในสามอันดับแรกซึ่งถือเป็นพื้นที่ทำเงินของการมองเห็น อีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจคือ กว่า 70% ของผู้ใช้เลือกคลิกลิงก์ที่ไม่ใช่โฆษณา ซึ่งยืนยันว่า ผู้คนยังคงให้ความเชื่อมั่นกับผลลัพธ์แบบ Organic มากกว่าผลลัพธ์แบบจ่ายเงิน (Paid Ads) ทำให้การลงทุนใน SEO กลายเป็นกลยุทธ์ที่สร้างความน่าเชื่อถือและผลลัพธ์ระยะยาวได้ดีกว่ามาก

ข้อดีและข้อเสียของการทำ SEO

ข้อดีของการทำ SEO

ข้อเสียของการทำ SEO

เพิ่มคนเข้าเว็บแบบไม่เสียเงิน

ใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล

สร้างความน่าเชื่อถือให้แบรนด์

ต้องอัปเดตเนื้อหาตลอดเวลา

ดึงลูกค้าที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย

แข่งขันสูงในบางคำค้น

ให้ผลยั่งยืนระยะยาว

ต้องมีความรู้และทักษะเฉพาะ

เพิ่มการมองเห็นบน Google

วัดผลได้ช้ากว่า SEM

กระบวนการการจัดอันดับ SEO ของ Google

ขอบอกไว้ก่อนว่าการทำ SEO ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่การใส่คีย์เวิร์ดลงในบทความ(ฮา) แต่เป็นกระบวนการทำงานของระบบอัลกอริทึมที่ซับซ้อนกว่านั้นมากจากระบบ Google ซึ่งจะคัดเลือกเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ผู้ใช้ และมีประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้ขึ้นมาอยู่ในอันดับต้นของหน้าผลการค้นหา โดยหลัก ๆ แล้ว Google ใช้กระบวนการจัดอันดับเว็บไซต์ผ่าน 4 ขั้นตอนสำคัญได้แก่ Content, Crawling, Indexing และ Ranking

หลักการทำงานของ SEO

1. Content (การสร้างคอนเทนต์คุณภาพบนเว็บไซต์)

ขั้นตอนแรกของ SEO คือการสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพและเกี่ยวข้องกับคำค้นหา (Keyword) อย่างแท้จริง โดย Google จะให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่มีความถูกต้อง เชื่อถือได้ และมีคุณค่าในสายตาผู้ใช้ ภายใต้หลัก E-E-A-T (Experience, Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness) ซึ่งหมายถึงประสบการณ์ตรง ความเชี่ยวชาญ ความน่าเชื่อถือ และความไว้ใจที่เว็บไซต์นั้นส่งต่อให้ผู้อ่าน นอกจากนี้ยังควรจัดวางโครงสร้างหัวข้อ H1–H3 ให้สอดคล้องกับเจตนาการค้นหา มีลิงก์ภายใน (Internal Links) เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลในเว็บไซต์ และลิงก์ออกภายนอก (Outbound Links) เพื่อสนับสนุนความน่าเชื่อถือของเนื้อหา

2. Crawling (การเก็บข้อมูลโดย Googlebot)

หลังจากคอนเทนต์ถูกสร้างแล้ว Googlebot จะเริ่มเข้ามา “Crawl” หรือเก็บข้อมูลภายในเว็บไซต์ กระบวนการนี้จะพิจารณาว่าเว็บไซต์สามารถเข้าถึงได้หรือไม่ โดยอาศัยไฟล์เช่น robots.txt และ XML sitemap เพื่อกำหนดขอบเขตการเก็บข้อมูล ทั้งนี้เว็บไซต์ที่ปรับให้เหมาะกับมือถือ (Mobile-first Optimization) จะได้รับความสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจาก Google ใช้เวอร์ชันมือถือเป็นหลักในการประเมิน SEO ความเร็วเว็บไซต์และความเสถียรในการโหลด (Server Performance) ก็มีผลต่อประสิทธิภาพของการ Crawling ด้วย

3. Indexing  การจัดเก็บและทำความเข้าใจเนื้อหา

เมื่อ Googlebot เก็บข้อมูลได้แล้ว ระบบจะทำการ “Index” หรือจัดเก็บเนื้อหานั้นเข้าสู่ฐานข้อมูลของ Google หากเว็บไซต์มีโครงสร้างทางเทคนิคที่ถูกต้อง เช่น Meta Tags, Schema Markup, และ Canonical Tag ก็จะช่วยให้ระบบเข้าใจเนื้อหาและหมวดหมู่ของเพจได้ง่ายขึ้น อีกทั้งควรหลีกเลี่ยงเนื้อหาซ้ำซ้อน เพราะอาจทำให้ Google เลือก Index เพียงบางหน้า สำหรับธุรกิจจริง ควรลงทะเบียน Google Business Profile และให้ข้อมูลที่ตรงกันทุกช่องทาง (ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์) เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและโอกาสในการแสดงผลแบบ Local SEO

4. Ranking  การให้คะแนนและจัดอันดับในผลการค้นหา (SERP)

หลังจากข้อมูลถูกจัดเก็บแล้ว Google จะเริ่มประเมินว่าเพจใดควรถูกจัดอยู่ในอันดับใด โดยอาศัยกว่า 200 ปัจจัย เช่น ความเกี่ยวข้องของเนื้อหา (Content Relevance), คุณภาพลิงก์ (Link Profile), และ ประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience) ทั้งนี้ Google ยังใช้เกณฑ์ด้านประสิทธิภาพหน้าเว็บหรือ Core Web Vitals ได้แก่

  • LCP (Largest Contentful Paint): ความเร็วในการโหลดส่วนหลักของหน้าเว็บ
  • INP (Interaction to Next Paint): ความลื่นไหลในการตอบสนองต่อผู้ใช้
  • CLS (Cumulative Layout Shift): ความมั่นคงของการจัดวางหน้าเว็บระหว่างโหลด

หากเว็บไซต์สามารถมอบประสบการณ์ที่ดี โหลดเร็ว มีโครงสร้างชัดเจน และแสดงข้อมูลที่น่าเชื่อถือ Google จะให้คะแนนสูง ส่งผลให้เว็บไซต์มีโอกาสติดอันดับต้น ๆ บนหน้า SERP (Search Engine Results Page) ได้อย่างยั่งยืน

ระยะเวลาเห็นผล SEO

โดยทั่วไปแล้ว การทำ SEO จะเริ่มเห็นผลภายในประมาณ 3–4 เดือน หลังจากเริ่มปรับโครงสร้างเว็บไซต์และสร้างคอนเทนต์คุณภาพ ซึ่งเป็นช่วงที่อันดับคำค้นจะเริ่มขยับและทราฟฟิกแบบ Organic เริ่มเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ระยะเวลาอาจต่างกันตามความแข็งแรงของโดเมน คุณภาพของคอนเทนต์ และระดับการแข่งขันของคีย์เวิร์ดกับเว็บไซต์คู่แข่ง แต่หากทำต่อเนื่องอย่างถูกหลัก ผลลัพธ์ของ SEO จะยั่งยืนและสร้างมูลค่าในระยะยาวมากกว่าโฆษณาแบบจ่ายเงิน(SEM)แน่นอน

3 องค์ประกอบพื้นฐานของ SEO

3 องค์ประกอบพื้นฐานของ SEO

โดยทั่วไปแล้ว SEO ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ On-Page SEO, Off-Page SEO และ Technical SEO ซึ่งเป็นหลักการสากลที่ใช้กันทั่วโลกในการวิเคราะห์และพัฒนาเว็บไซต์ให้มีคุณภาพตามมาตรฐานของ Google และแม้แนวคิดนี้จะดูเรียบง่าย แต่ยังคงเป็นกรอบสำคัญที่เว็บไซต์ทุกประเภทควรยึดถือ

On-Page SEO คือการปรับแต่งเนื้อหาภายในเว็บไซต์ให้มีประโยชน์ เหมาะสมกับผู้ใช้งานจริง มีความสะดวกในการอ่าน ใช้งานง่าย และให้ความรู้สึกน่าเชื่อถือ เช่น การจัดวางโครงสร้างบทความที่ชัดเจน การใช้คีย์เวิร์ดอย่างเหมาะสม และการสร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ผู้อ่าน ซึ่งในมุมมองของเรา On-Page SEO คือองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด เพราะหากเนื้อหาไม่ดีและไม่มีคุณค่า การทำ SEO ด้านอื่นก็ไม่อาจสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนได้

Off-Page SEO คือการเพิ่มพูนความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์จากภายนอก เช่น การได้รับการกล่าวถึงจากแพลตฟอร์มหรือเว็บไซต์อื่น ๆ การมีลิงก์อ้างอิง (Backlink) จากแหล่งคุณภาพ หรือการได้รับ Traffic จากโซเชียลมีเดีย ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยเสริมภาพลักษณ์ของเว็บไซต์ให้ Google มองว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่มีความนิยมและน่าเชื่อถือ

Technical SEO คือการปรับปรุงโครงสร้างทางเทคนิคของเว็บไซต์ เพื่อให้มีสมรรถนะสูงสุด ทั้งในด้านการ Coding ความเร็วของเว็บไซต์ การรองรับอุปกรณ์มือถือ (Mobile-first Optimization) และการทำงานของเซิร์ฟเวอร์ เพื่อให้ Googlebot เข้ามาเก็บข้อมูล (Crawling) ได้ง่ายและเข้าใจเนื้อหาได้ถูกต้อง

เหตุผลที่ควรใส่ใจ Google Algorithm

Google Algorithm

Google Algorithm คือกลไกที่คอยตัดสินว่าเว็บไซต์ใดควรอยู่ในหน้าแรกของผลการค้นหา ซึ่งหมายความว่ามันคือ หลักคัดกรองสำคัญ(Ranking Factors) ที่กำหนดว่าใครจะถูกเห็นก่อนหรือหลัง หากเราเข้าใจวิธีคิดของอัลกอริทึม ก็เท่ากับเข้าใจวิธีที่ Google ประเมินคุณค่าของเว็บไซต์ ดังนั้น หากจะทำ SEO เราต้องลองสมมุติว่าตัวเองเป็น Google Algorithm ดู เช่น เนื้อหาต้องมีคุณภาพนะ ที่เราเขียนตรงกับเจตนาผู้ค้นหามากแค่ไหน? เว็บไซต์ โหลดเร็ว ใช้งานง่าย และน่าเชื่อถือในสายตาระบบหรือเปล่า? ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เทคนิคเฉพาะทาง แต่คือหลักพื้นฐานที่คนทำ SEO ควรมี

ในมุมมองของ Sixtygram(ผู้เขียน) การใส่ใจอัลกอริทึมของ Google ไม่ใช่เพื่อเอาชนะระบบ แต่เพื่อใช้เรียนรู้และเติบโตไปกับมันเพราะทุกการอัปเดตของ Google ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อทำร้ายเว็บไซต์ แต่มุ่งคัดเลือกเนื้อหาที่ดีที่สุดให้ผู้ใช้ หากคุณเข้าใจหลักการนี้และพัฒนาเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์ตามแนวทางที่ Google ต้องการ อันดับที่ดีและทราฟฟิกที่เพิ่มขึ้นจะเกิดขึ้นอย่างยั่งยืนโดยไม่ต้องพึ่งกลยุทธ์สายเทา หรือวิธีการลองผิดลองถูกที่อาจใช้ได้แค่ชั่วคราว

ทำ SEO ตอนนี้ ยังคุ้มไหม?

ROI ของ SEO

ภาพรวมจากงานวิจัยของ NP Digital (พฤศจิกายน 2024) แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า SEO เป็นการลงทุนระยะยาวที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่า โดยเฉพาะกับเว็บไซต์ที่มีอายุเกิน 3 ปีขึ้นไป (Established Websites) ซึ่งในช่วงปีแรกอาจยังเห็นผลไม่มาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ROI จะเติบโตแบบทวีคูณ จาก 22.1% ในปีที่ 1 เป็นสูงถึง 198.5% ในปีที่ 5 ขณะที่เว็บไซต์ใหม่ (อายุน้อยกว่า 3 ปี) จะใช้เวลาฟื้นตัวจากจุดขาดทุนในช่วงแรก (-49.6%) ก่อนจะเริ่มมีกำไรชัดเจนในปีที่ 3 เป็นต้นไป

ดังนั้น การทำ SEO สำหรับเว็บไซต์ที่มีฐานผู้ชมและคอนเทนต์อยู่แล้วจะเห็นผลตอบแทนเร็วกว่ามาก ส่วนเว็บไซต์ใหม่ต้องมีความอดทนและเน้นกลยุทธ์ระยะยาว เช่น การสร้างคอนเทนต์คุณภาพและเก็บข้อมูลเชิงเทคนิคให้ครบตั้งแต่ต้น เพื่อให้ระบบของ Google ประเมินคุณภาพได้เร็วขึ้น แต่อย่างไรก็ดี คุณต้องเข้าใจว่า SEO ไม่ใช่กลยุทธ์ที่เห็นผลชั่วข้ามคืน SEO คือการลงทุนต่อเนื่องที่ยิ่งนาน ยิ่งสร้างผลตอบแทนมหาศาล ทั้งในแง่ของทราฟฟิก ยอดขาย และความน่าเชื่อถือของแบรนด์บนโลกออนไลน์ในปัจจุบัน

TAG ที่เกี่ยวข้อง: