Amintra

25 ตุลาคม 2024

รู้จัก ROI จุดคุ้มทุนการลงทุน พร้อมวิธีคำนวณ

ROI (Return On Investment) หรือ “ผลตอบแทนจากการลงทุน” คือการวัดผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนในโครงการหรือสินทรัพย์ใดๆ โดยเปรียบเทียบกับต้นทุนที่ใช้ในการลงทุน เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจได้ว่าการลงทุนไปใน Target Market นั้นมีความคุ้มค่าหรือไม่ ROI แสดงให้เห็นว่าเงินที่ลงทุนไปนั้นสร้างผลตอบแทนกลับมาได้มากน้อยเพียงใด

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า ROI จะมีประโยชน์มาก แต่ก็มีข้อจำกัดที่สำคัญ โดยเฉพาะการไม่คำนึงถึงมูลค่าของเงินตามเวลา (Time Value of Money) และความเสี่ยงของการลงทุน ด้วยเหตุนี้ นักลงทุนจึงควรใช้เครื่องมือวิเคราะห์เพิ่มเติม เช่น NPV (Net Present Value) ซึ่งคำนึงถึงมูลค่าของเงินในอนาคต IRR (Internal Rate of Return) ที่แสดงอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงของโครงการ Payback Period ที่บอกระยะเวลาคืนทุน และ RAROC (Risk-Adjusted Return on Capital) ที่ปรับผลตอบแทนตามระดับความเสี่ยง

สูตรคำนวณ ROI

ROI มีสูตรพื้นฐานที่นิยมใช้ คือ ROI = (กำไรสุทธิ / ต้นทุนการลงทุน) × 100 โดยกำไรสุทธิคือรายได้ทั้งหมดที่ได้รับจากการลงทุน หักด้วยต้นทุนที่ใช้ในการลงทุนทั้งหมด สูตรนี้ทำให้สามารถคำนวณ ROI ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีสูตร ROI เฉลี่ยต่อปี = ROI ทั้งหมด / จำนวนปีที่ลงทุน ซึ่งใช้สำหรับเปรียบเทียบการลงทุนที่มีระยะเวลาแตกต่างกัน

สูตรคำนวณ ROI

ตัวอย่างการคำนวณ ROI

กรณีศึกษาที่ 1: การลงทุนระยะสั้น

สมมติว่าคุณโจ้ลงทุนในบริษัทพิซซ่า จำนวน 1,000 บาท ในปี 2017 และขายหุ้นนั้นในปี 2018 ได้เงินกลับมา 1,200 บาท การคำนวณจะเป็นดังนี้:

  • กำไรสุทธิ = 1,200 – 1,000 = 200 บาท
  • ROI = (200 / 1,000) × 100 = 20% สามารถสรุปได้ว่าการลงทุนนี้ให้ผลตอบแทน 20% ในปีเดียว

กรณีศึกษาที่ 2: การลงทุนระยะยาว

ถ้าคุณโจ้ลงทุนในอีกบริษัทหนึ่งโดยใช้เงิน 2,000 บาท ในปี 2014 และขายหุ้นได้ 2,800 บาท ในปี 2017 การคำนวณจะเป็น:

  • กำไรสุทธิ = 2,800 – 2,000 = 800 บาท
  • ROI = (800 / 2,000) × 100 = 40%
  • ROI เฉลี่ยต่อปี = 40% / 3 = 13.33%

ROA กับ ROI ต่างกันอย่างไร

ROA (Return on Assets) และ ROI (Return on Investment) ต่างเป็นตัวชี้วัดความสามารถในการทำกำไร แต่มีความแตกต่างกันในด้านการคำนวณและวัตถุประสงค์:

1. การคำนวณ:

ROI: คำนวณจากผลตอบแทนสุทธิที่ได้รับเมื่อเทียบกับเงินที่ลงทุนทั้งหมด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการลงทุนที่ทำไปสามารถสร้างผลกำไรได้มากน้อยเพียงใด

ROI = (กำไรจากการลงทุน / ต้นทุนการลงทุน) × 100

ROA: คำนวณจากกำไรสุทธิเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ทั้งหมดของบริษัท ซึ่งบอกได้ว่าองค์กรใช้สินทรัพย์ทั้งหมดที่มีอยู่ในการสร้างผลตอบแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพแค่ไหน

ROA = (กำไรสุทธิ / สินทรัพย์รวม) × 100

2. วัตถุประสงค์

  • ROI: ใช้ในการวิเคราะห์ผลตอบแทนจากการลงทุนเฉพาะด้าน เช่น การลงทุนในโครงการใหม่ การตลาด หรือการขยายธุรกิจ เพื่อดูว่าการลงทุนใดมีความคุ้มค่าและสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุด
  • ROA: ใช้ในการวัดประสิทธิภาพโดยรวมขององค์กรในการจัดการสินทรัพย์ทั้งหมด ช่วยให้เห็นภาพรวมว่าบริษัทสามารถใช้ทรัพยากรที่มีในการสร้างผลกำไรได้ดีเพียงใด

3. การใช้งาน

  • ROI เหมาะสำหรับการประเมินผลการลงทุนแบบแยกย่อยหรือการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ระยะสั้น เช่น การลงทุนในเครื่องจักรใหม่หรือแคมเปญการตลาด
  • ROA เหมาะสำหรับการประเมินประสิทธิภาพขององค์กรโดยรวม ใช้ในการเปรียบเทียบระหว่างบริษัทต่างๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกัน เพื่อดูว่าบริษัทใดมีความสามารถในการจัดการทรัพย์สินที่ดีกว่า

ประโยชน์ของ ROI

ประโยชน์ของ ROI

ROI เป็นเครื่องมือวัดผลทางการเงินที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายด้วยเหตุผลหลายประการ ประการแรก คือความเรียบง่ายในการคำนวณที่ใช้เพียงข้อมูลพื้นฐานคือกำไรสุทธิและต้นทุนการลงทุน ทำให้นักลงทุนทุกระดับสามารถใช้งานได้โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ทางการเงินขั้นสูง

ด้านความยืดหยุ่นในการใช้งาน ROI สามารถประยุกต์ใช้ได้กับการลงทุนหลากหลายประเภท ตั้งแต่การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ การขยายกิจการ การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ไปจนถึงการประเมินโครงการทางธุรกิจต่างๆ แม้แต่ธุรกิจขนาดเล็กก็สามารถใช้ ROI เป็นเครื่องมือในการตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ROI ยังช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถเปรียบเทียบทางเลือกในการลงทุนที่แตกต่างกันได้ เช่น การเปรียบเทียบระหว่างการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลกับการซื้ออสังหาริมทรัพย์ให้เช่า หรือการตัดสินใจว่าควรลงทุนซื้อเครื่องจักรใหม่หรือจ้างพนักงานเพิ่ม

การประยุกต์ใช้ ROI ในธุรกิจสมัยใหม่

การตลาดดิจิทัล

การตลาดดิจิทัล

ในยุคที่การตลาดดิจิทัลมีบทบาทสำคัญ การคำนวณ ROI มีความซับซ้อนและละเอียดมากขึ้น นักการตลาดต้องพิจารณาเมตริกหลายด้านเพื่อประเมินประสิทธิภาพของแคมเปญ โดยเฉพาะตัวชี้วัดสำคัญต่างๆ ดังนี้

CTR (Click-Through Rate) เป็นอัตราที่แสดงว่าผู้ชมคลิกโฆษณาหรือลิงก์มากน้อยเพียงใดเมื่อเทียบกับจำนวนผู้เห็นโฆษณาทั้งหมด ค่า CTR ที่สูงบ่งชี้ว่าเนื้อหาหรือโฆษณานั้นตรงกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย

Conversion Rate คืออัตราการเปลี่ยนผู้เยี่ยมชมให้กลายเป็นลูกค้า เช่น การสมัครสมาชิก การซื้อสินค้า หรือการดาวน์โหลดเอกสาร อัตรานี้ช่วยวัดประสิทธิภาพของกระบวนการขายและการตลาดว่าสามารถโน้มน้าวให้เกิดการตัดสินใจซื้อได้ดีเพียงใด

CPA (Cost Per Acquisition) คือต้นทุนในการได้มาซึ่งลูกค้าหนึ่งราย ซึ่งรวมถึงค่าโฆษณา ค่าการตลาด และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง การวิเคราะห์ CPA ช่วยให้ธุรกิจสามารถประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนด้านการตลาดและปรับกลยุทธ์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์

การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์

การวิเคราะห์ ROI ในด้านอสังหาริมทรัพย์จำเป็นต้องพิจารณาองค์ประกอบที่ซับซ้อนและหลากหลาย เริ่มจากรายได้หลักที่มาจากค่าเช่ารายเดือนหรือรายปี ซึ่งต้องประเมินจากราคาตลาดและทำเลที่ตั้ง นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเป็นประจำ เช่น:

  • ค่าบำรุงรักษาอาคารและระบบสาธารณูปโภค
  • ค่าประกันภัยทรัพย์สินที่ต้องจ่ายเพื่อคุ้มครองความเสียหาย
  • ภาษีทรัพย์สินและค่าธรรมเนียมต่างๆ ตามกฎหมาย
  • ค่าบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์

ที่สำคัญคือการพิจารณาการเพิ่มขึ้นของมูลค่าทรัพย์สินในระยะยาว (Capital Appreciation) ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น การพัฒนาของพื้นที่โดยรอบ แผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และแนวโน้มการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์

การพัฒนาองค์กร

การพัฒนาองค์กร

การลงทุนในการพัฒนาองค์กรมีความพิเศษตรงที่ผลตอบแทนมักไม่ได้อยู่ในรูปของตัวเงินโดยตรง การวัด ROI ในด้านนี้จึงต้องพิจารณาผลลัพธ์หลายมิติ:

การพัฒนาบุคลากร การฝึกอบรมพนักงานสามารถวัดผลได้จากการเพิ่มขึ้นของประสิทธิภาพการทำงาน อัตราการลดของข้อผิดพลาด และความสามารถในการรับผิดชอบงานที่ซับซ้อนมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความผูกพันของพนักงานต่อองค์กร ลดอัตราการลาออก และดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถ

การปรับปรุงระบบเทคโนโลยี การลงทุนด้านเทคโนโลยีสามารถวัดผลจากการลดระยะเวลาในการทำงาน การประหยัดทรัพยากร และความแม่นยำที่เพิ่มขึ้น เช่น ระบบการจัดการคลังสินค้าที่ทันสมัยช่วยลดความผิดพลาดในการจัดส่ง ลดต้นทุนการจัดเก็บ และเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า

การพัฒนาคุณภาพผลงาน สามารถวัดได้จากความพึงพอใจของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น จำนวนข้อร้องเรียนที่ลดลง และความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลต่อยอดขายและส่วนแบ่งการตลาดในระยะยาว การวัด ROI ในการพัฒนาองค์กรจึงต้องมองภาพรวมทั้งผลลัพธ์ระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงผลกระทบทางอ้อมที่มีต่อความยั่งยืนขององค์กร

ความสามารถในการทํากําไรจากการลงทุน ROI บ่งบอกสิ่งใดต่อผู้บริหาร

ROI เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ผู้บริหารประเมินความคุ้มค่าของการลงทุน แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการใช้เงินและความสามารถในการสร้างผลตอบแทน ทำให้เห็นภาพชัดเจนว่าการตัดสินใจลงทุนที่ผ่านมาเหมาะสมหรือไม่ นอกจากนี้ ยังช่วยให้การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์มีความแม่นยำ เช่น การเลือกขยายหรือลดการลงทุนในโครงการต่างๆ รวมถึงการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานระหว่างแผนกหรือกับคู่แข่ง เพื่อระบุจุดแข็งและโอกาสในการปรับปรุง อีกทั้งยังเป็นตัวชี้วัดที่ช่วยในการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ประเมินความเสี่ยง และคาดการณ์แนวโน้มทางธุรกิจ ทำให้ผู้บริหารสามารถสื่อสารกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ การใช้ ROI ควรควบคู่กับตัวชี้วัดอื่นๆ เพื่อให้การวางแผนและตัดสินใจมีความรอบด้านและแม่นยำยิ่งขึ้น

ปัจจุบัน ROI ได้พัฒนาให้ครอบคลุมมิติอื่นๆ เช่น SROI (Social Return on Investment) ที่วัดผลตอบแทนทางสังคมและสิ่งแวดล้อม เช่น การลงทุนในพลังงานสะอาดหรือการรีไซเคิล แม้อาจทำให้ ROI ทางการเงินลดลง แต่สร้างคุณค่าทางสังคมในระยะยาว การวิเคราะห์ ROI เป็นทักษะสำคัญสำหรับนักลงทุนและผู้บริหาร การเข้าใจทั้งข้อดีและข้อจำกัด รวมถึงการประยุกต์ใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ จะช่วยให้การตัดสินใจลงทุนมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจในระยะยาว นอกจากนี้ การพัฒนาของ ROI ในมิติต่างๆ ยังช่วยให้การวิเคราะห์การลงทุนครอบคลุมทั้งด้านการเงิน สังคม และสิ่งแวดล้อม

TAG ที่เกี่ยวข้อง: