Nattapat

29 กรกฎาคม 2025

Reels คืออะไร? รู้จัก ก่อนเริ่มสร้างรายได้

ใครที่เล่นโซเชียลมีเดียอยู่เป็นประจำ คงคุ้นกับการไถวิดีโอสั้นไปเรื่อย ๆ ด้วยความเพลิดเพลินแบบไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็น TikTok, Shorts หรือ Reels บน Facebook และ Instagram ที่ต่างแข่งกันแย่งพื้นที่สายตาผู้ใช้ให้ได้มากที่สุด นั่นทำให้รูปแบบวิดีโอแนวตั้ง ความยาวไม่เกิน 1 นาที กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการเสพคอนเทนต์ในยุคปัจจุบัน เพราะดูง่าย แชร์สะดวก และให้ความรู้สึกสดใหม่ที่ตอบสนองความอยากรู้แบบทันทีของคนยุคนี้ได้ดีที่สุด

ในบทความนี้ Sixtygram Agency จะพาคุณไปรู้จักกับฟีเจอร์ Reels อย่างละเอียด ทั้งในแง่ของรูปแบบการทำงาน ความแตกต่างระหว่างแพลตฟอร์ม Instagram และ Facebook ไปจนถึงการเปรียบเทียบกับ TikTok และ Shorts พร้อมอธิบายให้ชัดว่า Reels สร้างรายได้ได้จริงไหม? มีช่องทางใดบ้าง และต้องระวังอะไรจากความเข้าใจผิดที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เพื่อให้คุณวางกลยุทธ์คอนเทนต์ได้อย่างถูกต้อง และไม่ตกเป็นเหยื่อของข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนนั่นเองครับ

Reels คืออะไร?

reel คือ.jpg

ในทางโซเชียลมีเดีย Reels ที่เรามักเรียกกันว่า “รีล” คือฟีเจอร์วิดีโอแนวตั้งที่มีความยาวไม่เกิน 90 วินาที ของ Meta Platforms ซึ่งผู้ใช้งานสามารถสร้าง ตัดต่อ และเผยแพร่(อัพโหลด)ได้โดยตรงบนแพลตฟอร์ม Facebook และหรือ Instagram 

โดยจุดเด่นของ Reels ไม่ใช่แค่ความสั้นและไว แต่คือ การเข้าถึงได้ง่าย ที่มากกว่าโพสต์ทั่วๆไป เพราะอัลกอริทึมของ Meta จะช่วยดัน Reels ไปสู่สายตาของกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ ที่ยังไม่รู้จักเรามาก่อน ทั้งนี้ Meta (เจ้าของ Facebook และ Instagram) ได้พัฒนา Reel อย่างหนักเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้ทั้งในแง่ความบันเทิง การสร้างตัวตน และการทำการตลาดของอินฟลูเอนเซอร์และกลุ่มธุรกิจในปัจจุบัน

หนึ่งสิ่งที่ทำให้ Reels โดดเด่นกว่าแพลตฟอร์มวิดีโออื่นๆ นั่นคือเครื่องมือในแอปที่ครบเครื่อง ทั้งฟิลเตอร์ เพลง เอฟเฟกต์ ข้อความ และลูกเล่น AR ที่ทำให้ทุกคนสามารถสร้างคลิปที่ดูมืออาชีพได้โดยไม่ต้องใช้ซอฟต์แวร์ตัดต่อภายนอก นอกจากนี้ การดู Reels ยังออกแบบมาให้เน้นการ “เลื่อนได้เรื่อยๆ” แบบเดียวกับ TikTok หรือ Shorts ทำให้ผู้ใช้งานใช้เวลากับคอนเทนต์ของเรามากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

Reels มีกี่ประเภท?

Reel Instagram and Facebook

แม้ทั้ง Instagram และ Facebook จะอยู่ภายใต้บริษัท Meta และใช้ชื่อฟีเจอร์เดียวกันว่า Reels แต่ในรายละเอียดการใช้งานจริงกลับมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในด้านเครื่องมือการตัดต่อ กลุ่มผู้ชม ไปจนถึงรูปแบบการเผยแพร่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้สร้างคอนเทนต์หรือแบรนด์ควรรู้ก่อนเริ่มวางกลยุทธ์การทำ Reels ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด นั่นทำให้ Reels ถูกแบ่งได้เป็น 2 ประเภทตามแพลตฟอร์มที่ถูกใช้ต่างกัน ได้แก่

1. Instagram Reels 

Instagram Reels เป็นแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อเน้นการเล่าเรื่องในเชิงไลฟ์สไตล์ สวยงาม และสร้างสรรค์ โดยมีเอฟเฟกต์และฟิลเตอร์มากมายให้เลือกใช้ รวมถึงการแชร์ไปยัง Stories, Feed และ Explore ได้พร้อมกัน จุดแข็งของ Instagram Reels คือการเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมเทรนด์ที่เน้นภาพลักษณ์ เช่น แฟชั่น ความงาม หรือคอนเทนต์ที่เน้นความสวยงามของภาพ

2. Facebook Reels

Facebook Reels มีจุดเด่นด้านการเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้ที่กว้างกว่า โดยเฉพาะผู้ใช้ในต่างจังหวัด กลุ่มผู้ใหญ่ หรือกลุ่มครอบครัวซึ่งยังใช้ Facebook เป็นหลัก Reels บน Facebook จึงเหมาะสำหรับคอนเทนต์ที่ต้องการเข้าถึง mass audience ไม่ว่าจะเป็นความรู้ สาระทั่วไป หรือคอนเทนต์บันเทิงที่เข้าถึงง่าย

แม้เครื่องมือภายในแอปของทั้งสองแพลตฟอร์มจะคล้ายกัน แต่ความแตกต่างที่สำคัญคือ พฤติกรรมของผู้ชมและวัตถุประสงค์ของการใช้งาน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อกลยุทธ์คอนเทนต์ที่ควรใช้บนแต่ละช่องทาง หากคุณเป็นแบรนด์หรือครีเอเตอร์ การเข้าใจความต่างนี้จะช่วยให้คุณเลือกโพสต์ Reels ได้ถูกที่และถูกเวลา

Reels vs TikTok vs Shorts

TikTok vs Reels vs Shorts.jpg

แม้ Reels ของ Meta, Tikok ของ ByteDance และ Shorts ของ Youtube ทุกๆแพลตฟอร์มหันมาพยายามเน้นคลิปแนวตั้ง ความยาวสั้น และการปัดเพื่อดูต่อได้ทันที เช่นเดียวกัน แต่ในเชิงกลยุทธ์แล้ว กลับมีข้อแตกต่างที่สำคัญที่ควรรู้ก่อนเริ่มทำคอนเทนต์จริง ซึ่งสามารถแบ่งได้ ดังนี้

TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่เริ่มต้นกระแสวิดีโอสั้น โดยเน้นคอนเทนต์ไวรัล เทรนด์ และความเป็นธรรมชาติ ครีเอเตอร์สามารถสร้างเสียงเอง ใช้เอฟเฟกต์เฉพาะตัว และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ผ่านระบบแนะนำที่ทรงพลัง จุดแข็งของ TikTok คือความเข้าถึงง่ายของผู้เผยแพร่คอนเทนต์ ไม่จำเป็นต้องสวยงาม ไม่ต้องมีโปรดักชั่นใหญ่ แต่ต้องมีเสน่ห์ของ Influencer ที่เฉพาะตัว

YouTube Shorts แม้จะมาทีหลัง แต่ก็ผสานเข้ากับระบบ YouTube เดิมได้อย่างแนบเนียน เหมาะกับครีเอเตอร์ที่มีฐานแฟนคลับเฉพาะทางจากวิดีโอยาว ๆ ที่ทำเนื้อหาเฉพาะทาง(Niche)อยู่แล้ว และต้องการกระตุ้นให้ผู้ชมกลับมาเรื่อย ๆ ทั้งนี้ จุดแข็งของ Shorts คือความต่อเนื่องในระบบ SEO ของ YouTube และความสามารถในการโยงระหว่าง Shorts กับวิดีโอยาวนั่นเอง

ส่วน Reels จาก Instagram และ Facebook เน้นการเชื่อมโยงกับภาพลักษณ์ของผู้ใช้ในระหว่างสองแพลตฟอร์มที่ทำงานร่วมกันอย่างครบวงจร มีฐานจากกลุ่มธุรกิจที่ทำการตลาดอย่างยาวนาน การใช้เครื่องมือ AR ฟิลเตอร์ และเพลงลิขสิทธิ์เป็นจุดแข็ง Reels เหมาะกับการทำธุรกิจ ทำแบรนด์ดิ้ง สร้างความน่าเชื่อถือ และขยายฐานผู้ติดตามอย่างมีคุณภาพในระยะยาว

เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ลองดูตารางเปรียบเทียบนี้

แพลตฟอร์ม

ความยาวสูงสุด

จุดแข็งหลัก

เหมาะกับใคร

Instagram Reels

90 วินาที

ภาพลักษณ์ สร้างแบรนด์ แชร์หลายช่องทาง

ธุรกิจแฟชั่น ไลฟ์สไตล์ สินค้า B2C

Facebook Reels

90 วินาที

เข้าถึงคนวงกว้าง ยิง Ads ได้แม่น

ธุรกิจสินค้าและบริการ กลุ่มเป้าหมายทั่วไป

TikTok

10 นาที

เทรนด์ ไวรัล เพลงอิสระ

Influencer ทั่วไป รีวิว บันเทิง

YouTube Shorts

60 วินาที

เชื่อมโยงวิดีโอยาว มี SEO

ยูทูบเบอร์ ผู้ให้ความรู้เฉพาะทาง

ทำไม Reels ถึงเป็นที่นิยม?

reel เต้น

ความนิยมของ Reels ไม่ได้เกิดจากการเป็นฟีเจอร์ใหม่ แต่เกิดจากการเข้าใจพฤติกรรมผู้ใช้อย่างลึกซึ้ง และตอบโจทย์การบริโภคคอนเทนต์ในยุคที่ความเร็วคือทุกสิ่ง ผู้ใช้งานในปัจจุบันมักเลือกดูวิดีโอที่ สั้น กระชับ และเข้าประเด็น ซึ่ง Reels สามารถตอบโจทย์นี้ได้แบบครบถ้วน ทั้งในแง่เนื้อหา รูปแบบ และอัลกอริทึมที่ช่วยผลักดันการมองเห็นโดยไม่จำเป็นต้องมีผู้ติดตามจำนวนมาก

สิ่งที่ทำให้ Reels ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในไทยมีหลายปัจจัยประกอบกัน ได้แก่

ความสะดวกในการผลิตและบริโภค: ผู้ใช้สามารถสร้างวิดีโอที่น่าสนใจได้ภายในไม่กี่นาที โดยไม่ต้องใช้ซอฟต์แวร์ภายนอก ขณะเดียวกัน ผู้ชมก็สามารถดูเนื้อหาหลายคลิปได้แบบ “เลื่อนต่อได้เรื่อย ๆ” โดยไม่ต้องเสียเวลาเลือก

อัลกอริทึมที่เปิดกว้าง: แม้คุณจะไม่มีผู้ติดตามเลย Reels ก็มีโอกาสเข้าถึงผู้ชมใหม่ได้ เพราะระบบของ Meta จะดันคลิปที่มีแนวโน้มได้รับความสนใจขึ้นบนหน้า Explore และ Feed อัตโนมัติ

พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป: ปัจจุบัน ผู้คนใช้เวลาอยู่กับวิดีโอสั้นมากกว่ารูปภาพหรือโพสต์ข้อความ และส่วนใหญ่เลือกดูผ่านโทรศัพท์มือถือ วิดีโอแนวตั้งจึงกลายเป็นรูปแบบที่เข้ากับชีวิตประจำวันของผู้คนมากที่สุด

ความเหมาะสมกับการโฆษณาและสร้างแบรนด์: ด้วยความสามารถในการเล่าเรื่องที่รวดเร็วและเข้าถึงอารมณ์ Reels จึงเป็นสื่อที่เหมาะกับการทำโฆษณาแบบเนียน ๆ หรือ Soft Sell ที่ได้ผลลัพธ์สูง โดยเฉพาะกับกลุ่ม Gen Y และ

จากสถิติโดย Meta พบว่า Reels มี Engagement Rate เฉลี่ยอยู่ที่ 1.23% ซึ่งสูงกว่าโพสต์รูปภาพหรือวิดีโอทั่วไปอย่างชัดเจน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อระบบ AI เรียนรู้ว่าผู้ชมกลุ่มใดมีแนวโน้มชอบเนื้อหาประเภทใด ดังนั้น สำหรับแบรนด์ การเข้าใจว่า “ทำไมคนดู Reels เยอะ” คือจุดเริ่มต้นของการวางกลยุทธ์วิดีโอที่แม่นยำ และ Reels คือเครื่องมือที่ควรถูกนำมาใช้อย่างจริงจังในยุคที่คนเลือกเสพ “ความบันเทิง + ข้อมูล” ภายในเวลาไม่เกิน 1 นาทีเหมือนกินฟาสต์ฟู๊ดนั่นเอง

Reels สร้างรายได้ได้อย่างไร? 

ในฐานะเอเจนซี่ที่ติดตามเทรนด์การตลาดออนไลน์อย่างใกล้ชิด เราอยากเริ่มต้นด้วยการชี้ให้เห็นจากคำถามที่ว่า “ทำ Reels แล้วได้เงินเยอะ?” ซึ่งเป็นคำถามที่เคยสร้างความเข้าใจผิดอย่างรุนแรงในวงการครีเอเตอร์ไทย โดยเฉพาะในช่วงกลางปี 2566 ที่เคยมีกรณีผู้ใช้ Facebook หลายรายเห็นยอดรายได้จาก Reels พุ่งสูงผิดปกติในแดชบอร์ด และนำไปตีความว่าการมี ยอดวิวเยอะ เท่ากับ ได้เงินทันที ซึ่งไม่เป็นความจริง แน่นอนครับ(ฮา)

ดับฝันครีเอเตอร์หน้าใหม่ หลังรายได้ Reels สูง เป็นแค่ข้อผิดพลาดของระบบ
อ่านข่าว ดับฝันครีเอเตอร์หน้าใหม่ หลังรายได้ Reels สูง เป็นแค่ข้อผิดพลาดของระบบ โดย PPTV Online

โดย Meta เองออกมาชี้ในกรณีแจงภายหลังว่า ตัวเลขดังกล่าวเป็น “ข้อผิดพลาดของระบบ” และได้ปรับกลับสู่ค่าที่ถูกต้องในเวลาต่อมา ส่งผลให้ครีเอเตอร์หลายคนตกใจเมื่อรายได้จากหลักหมื่น กลายเป็นหลักร้อยในพริบตา ขณะเดียวกันก็มีการเปิดคอร์สสอนผิด ๆ โดยอ้างว่าสามารถทำเงินจากยอดวิว Reels ได้ทันที ซึ่งกรณีเหล่านี้สะท้อนชัดว่า การเข้าใจกลไกของแพลตฟอร์มอย่างลึกซึ้ง เป็นเรื่องสำคัญไม่น้อยไปกว่าการสร้างคอนเทนต์

กลับมาที่คำถามว่า แล้ว Reels สร้างรายได้ได้ไหม? และทำอย่างไร? คำตอบคือ สามารถทำได้จริง แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎของระบบที่ถูกต้อง และมีเงื่อนไขเฉพาะสำหรับแต่ละช่องทาง โดยสามารถสรุปช่องทางสร้างรายได้จาก Reels ได้ทั้งบน Facebook และ Instagram ดังนี้

รายได้จาก Facebook Reels

หาเงินจาก reel facebook.png

Meta เปิดให้ผู้ใช้ Facebook สามารถสร้างรายได้ผ่านฟีเจอร์ Reels ได้หลายทาง โดยหลัก ๆ ได้แก่

  • Ads on Reels: แสดงโฆษณาระหว่างคลิป Reels (ในบางบัญชีที่มีสิทธิ์เท่านั้น)
  • Stars: ผู้ชมสามารถซื้อ “ดาว” ให้กับครีเอเตอร์เป็นการสนับสนุนแบบรายครั้ง
  • Subscriptions: เปิดให้ผู้ติดตามสมัครสมาชิกรายเดือนเพื่อรับสิทธิพิเศษ
  • Branded Content: ครีเอเตอร์สามารถรับสปอนเซอร์จากแบรนด์โดยตรง
  • Reels Play Bonus Program: โปรแกรมโบนัสพิเศษจาก Meta ที่เปิดรับเฉพาะบัญชีที่มี Engagement สูงและได้รับคำเชิญเท่านั้น โดยวัดจากยอดวิวในช่วง 30 วัน

การสร้างรายได้จาก Reels บน Facebook ต้องมีการสร้างคลิปที่เป็นต้นฉบับเท่านั้น ไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่มีเนื้อหาซ้ำ ไม่มีภาพนิ่งเล่นวนซ้ำ หรือคอนเทนต์ที่ใช้เพื่อปั่น Engagement โดยไม่มีสาระ

รายได้จาก Instagram Reels

หาเงินจาก reel ig.png

ฝั่ง Instagram Reels ก็มีเครื่องมือคล้ายกันสำหรับผู้สร้างคอนเทนต์ที่ต้องการสร้างรายได้ ได้แก่

  • Branded Content Tools: ใช้แท็ก “Paid Partnership” เพื่อระบุวิดีโอที่มีสปอนเซอร์
  • Badges in Live: ผู้ชมสามารถซื้อ Badge เพื่อให้กำลังใจระหว่างไลฟ์
  • Subscriptions: เปิดระบบสมาชิกเหมือน Facebook
  • Bonuses (เฉพาะบางบัญชี): มีโบนัสพิเศษหาก Reels ทำยอดเข้าถึงสูง

นอกจากนี้ Instagram ยังให้ความสำคัญกับการขยายการมองเห็นผ่าน Explore และการแชร์ไปยัง Facebook ได้โดยตรง ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสสร้างรายได้แบบข้ามแพลตฟอร์ม

วิธีเริ่มสร้างรายได้จาก Reel 

  1. เปิดบัญชี Creator หรือ Professional Account บน Instagram / Facebook
  2. ทำคลิป Reels ที่เป็นต้นฉบับอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย 3–5 คลิปต่อสัปดาห์
  3. เลี่ยงเนื้อหาผิดนโยบายเช่นเพลงลิขสิทธิ์ภาพนิ่งเล่นซ้ำหรือเนื้อหารุนแรง
  4. สมัครเข้าร่วมโปรแกรมสร้างรายได้จาก Meta (หากมีสิทธิ์)

ดังนั้น หากคุณเป็นแบรนด์ SME หรือครีเอเตอร์ที่เริ่มต้นจากศูนย์ Reels คือโอกาสใหม่ที่ต้นทุนต่ำ แต่ให้ผลลัพธ์ได้สูง ทั้งในเชิงยอดขาย การเข้าถึง หรือแม้กระทั่งรายได้โดยตรงจากแพลตฟอร์ม

TAG ที่เกี่ยวข้อง: