Personalized Marketing คือ การตลาดแบบรู้ใจ การใช้ข้อมูลที่ทางแบรนด์จัดเก็บจากลูกค้า หรือกลุ่มเป้าหมาย มาวิเคราะห์เพื่อออกแบบกลยุทธ์ทางการตลาด รวมถึงการพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบสนองต่อความคาดหวังและความต้องการของลูกค้าแต่ละบุคคล ดังนั้น การทำการตลาดแบบรู้ใจจำเป็นต้องเริ่มจากการเก็บข้อมูลลูกค้าอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง เพื่อนำมาสร้างสรรค์และประยุกต์ใช้ในการออกแบบกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
ในยุคดิจิทัลที่ผู้บริโภคถูกท่วมท้นด้วยข้อมูลและโฆษณามากมาย การทำการตลาดแบบเหมารวม (Mass Marketing) เริ่มสูญเสียประสิทธิภาพลง ผู้บริโภคต้องการประสบการณ์ที่เข้าใจความต้องการเฉพาะตัวของพวกเขามากขึ้น จากการสำรวจพบว่า 80% ของผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าจากแบรนด์ที่มอบประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคล และ 72% ของผู้บริโภคจะตอบสนองต่อข้อความทางการตลาดที่ปรับแต่งให้เข้ากับความสนใจของพวกเขาเท่านั้น นี่คือที่มาของ Personalized Marketing หรือการตลาดแบบรู้ใจ กลยุทธ์ที่ใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีเพื่อสร้างประสบการณ์ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับผู้บริโภคแต่ละคน จากแบรนด์ระดับโลกอย่าง Netflix ที่แนะนำคอนเทนต์ตามรสนิยมการรับชม ไปจนถึงแบรนด์ไทยอย่าง Central Group ที่ส่งโปรโมชั่นเฉพาะบุคคลผ่าน The 1 Card ล้วนเป็นตัวอย่างของความสำเร็จในการใช้ Personalized Marketing
ประเภทของ Personalized Marketing

1. Segmentation
การทำ Personalized Marketing เริ่มจากการเก็บข้อมูลกลุ่มเป้าหมายและลูกค้า เพื่อนำมาวิเคราะห์และแบ่งกลุ่ม เช่น การแบ่งตามความถี่ในการซื้อ การแบ่งตามประเภทสินค้าที่ชื่นชอบ หรือการแบ่งตามการใช้จ่าย ยิ่งแบ่งกลุ่มได้ละเอียดมากเท่าไร การตลาดก็จะมีความแม่นยำมากขึ้น แต่ก็ต้องระมัดระวังเรื่องต้นทุน แบรนด์จึงจำเป็นต้องวางแผนและกำหนดวัตถุประสงค์อย่างชัดเจน
2. 1-to-1 Personalization
การทำ 1-to-1 Personalized คือการสร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคล (Personal Experiences) โดยใช้ข้อมูลพฤติกรรมออนไลน์ เช่น ประวัติการค้นหา การชมสินค้า และข้อมูลบริบท เช่น ตำแหน่งที่ตั้งและเวลา นำมาวิเคราะห์ผ่านเครื่องมืออย่างระบบ CRM, Data Analytics, Marketing Automation, และ AI เพื่อสร้างประสบการณ์ที่รู้ใจสำหรับลูกค้าแต่ละคน
3. Personalized Content Marketing
การตลาดแบบรู้ใจด้วยการสร้างคอนเทนต์ เช่น บทความและหน้าเว็บไซต์ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับลูกค้า ตัวอย่างเช่น แบรนด์เสื้อผ้ากีฬาอาจใช้ข้อมูลที่รู้ว่าลูกค้าชอบทีมฟุตบอลทีมไหน เพื่อแนะนำสินค้าที่มีลายหรือสัญลักษณ์ของทีมนั้น การใช้คอนเทนต์ที่สอดคล้องกับความสนใจของลูกค้าจะช่วยสร้างความประทับใจ และเพิ่มโอกาสในการบอกต่อสินค้าและบริการของแบรนด์
4. Personalized E-Mail Marketing
การตลาดผ่านทางอีเมลยังเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ท้าทาย เพราะลูกค้าได้รับอีเมลจำนวนมากในแต่ละวัน การทำ Personalized E-Mail Marketing เช่น การระบุชื่อของลูกค้าในอีเมล การอวยพรวันเกิด หรือการขอบคุณและมอบส่วนลด จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าสนใจและกดเข้ามาดูอีเมลได้มากขึ้น
Hyper-Personalized Marketing คืออะไร?

Hyper-Personalized Marketing เป็นขั้นกว่าของ Personalized Marketing ที่เน้นการใช้ข้อมูลที่มีความละเอียดและเชิงลึกมากขึ้น เช่น พฤติกรรมออนไลน์แบบเรียลไทม์ ข้อมูลการค้นหาและซื้อสินค้าครั้งล่าสุด รวมถึงข้อมูลบริบท เช่น สถานที่และเวลาปัจจุบัน ทั้งนี้จะใช้เครื่องมือที่มีความซับซ้อนมากขึ้น เช่น AI, Machine Learning และ Big Data Analytics เพื่อทำให้การตลาดมีความแม่นยำและตรงกับความต้องการเฉพาะของลูกค้าในแต่ละช่วงเวลาจริง ๆ
Hyper-Personalized Marketing VS Personalized Marketing
Hyper-Personalized Marketing และ Personalized Marketing แม้จะมีพื้นฐานแนวคิดที่คล้ายกัน คือการสร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคลให้กับลูกค้า แต่ทั้งสองแนวทางนี้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในด้านการใช้ข้อมูลและเทคโนโลยี
Personalized Marketing มักอาศัยข้อมูลพื้นฐานที่เก็บรวบรวมจากลูกค้า เช่น ข้อมูลประชากร (อายุ เพศ ที่อยู่) และประวัติการซื้อ เพื่อทำการวิเคราะห์และสร้างข้อเสนอที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าในระดับหนึ่ง ตัวอย่างเช่น การส่งอีเมลโปรโมชั่นแนะนำสินค้าที่ลูกค้าเคยซื้อหรือสนใจในอดีต หรือการนำเสนอสินค้าที่น่าจะเหมาะสมกับลูกค้ากลุ่มหนึ่งตามการจัดหมวดหมู่พื้นฐาน
ในขณะที่ Hyper-Personalized Marketing ยกระดับการทำการตลาดแบบรู้ใจไปอีกขั้น โดยการใช้ข้อมูลเชิงลึกและเรียลไทม์ผ่านเทคโนโลยีที่ซับซ้อนกว่าเดิม อาทิ การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI), การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data), และการทำงานร่วมกับระบบ Machine Learning เทคโนโลยีเหล่านี้ทำให้แบรนด์สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าได้อย่างแม่นยำแบบรายบุคคล เช่น การติดตามกิจกรรมบนเว็บไซต์, ข้อมูลการค้นหา, พฤติกรรมการซื้อในอดีต, ไปจนถึงบริบทเฉพาะเช่น ตำแหน่งที่อยู่และช่วงเวลาที่ลูกค้าใช้งาน การใช้ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ช่วยให้แบรนด์สามารถสร้างประสบการณ์ที่เหมาะสมอย่างยิ่งกับแต่ละบุคคล เช่น การนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการ ณ เวลาที่เหมาะสม หรือแม้แต่การนำเสนอข้อความที่สอดคล้องกับความสนใจและอารมณ์ในขณะนั้น
ความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างทั้งสองแนวทาง คือระดับความแม่นยำและลึกซึ้งของข้อมูลที่ใช้ Personalized Marketing ช่วยให้แบรนด์สามารถปรับเนื้อหาและข้อเสนอให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายที่มีการจำแนกประเภทกว้างๆ ในขณะที่ Hyper-Personalized Marketing มุ่งเน้นไปที่การตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคลในระดับที่ลึกกว่าและทันต่อเหตุการณ์มากกว่า โดยการนำข้อมูลที่หลากหลายมาผสานกันเพื่อเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าอย่างละเอียด
Hyper-Personalized Marketing ทำให้แบรนด์สามารถสร้างความประทับใจได้มากกว่าเดิม เพราะลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์นั้น “เข้าใจ” และ “รู้ใจ” พวกเขาอย่างแท้จริง ในขณะที่ Personalized Marketing ช่วยสร้างความพึงพอใจในระดับที่เพียงพอ แต่ยังไม่ลึกซึ้งเท่าการตลาดแบบ Hyper-Personalized การทำงานร่วมกันของข้อมูลเชิงลึกและเทคโนโลยีทันสมัยจึงเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยผลักดันประสิทธิภาพการทำการตลาดแบบ Hyper-Personalized ให้เหนือกว่าเดิม
ขั้นตอนการทำ Personalized Marketing
- เก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้า – รวบรวมข้อมูลทั้งพฤติกรรมการซื้อ ความสนใจ และข้อมูลเชิงประชากร (Demographics)
- วิเคราะห์ข้อมูล – นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เพื่อแบ่งกลุ่มและทำความเข้าใจความต้องการ
- วางแผนกลยุทธ์ – ใช้ข้อมูลที่วิเคราะห์มาเพื่อออกแบบข้อเสนอทางการตลาดที่เหมาะสม
- ดำเนินการและปรับปรุง – เริ่มแคมเปญการตลาด และปรับปรุงอย่างต่อเนื่องจากผลลัพธ์ที่ได้
เครื่องมือในการทำ Personalized Marketing

เมื่อพูดถึง Personalized Marketing หรือ Hyper-Personalized Marketing การใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญในการวิเคราะห์ข้อมูลและเชื่อมต่อกับลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือตัวอย่างเครื่องมือยอดนิยมที่ช่วยให้แบรนด์สามารถทำการตลาดแบบรู้ใจได้ดีขึ้น:
- CRM (Customer Relationship Management)
- Salesforce: เป็นระบบ CRM ที่ช่วยจัดการข้อมูลลูกค้าและติดตามการโต้ตอบกับลูกค้า ช่วยให้แบรนด์สามารถปรับปรุงความสัมพันธ์และเพิ่มโอกาสในการขาย
- HubSpot CRM: อีกหนึ่งเครื่องมือที่ใช้สำหรับการจัดการข้อมูลลูกค้าและติดตามการทำงานของทีมขาย รวมถึงมีฟีเจอร์ที่ช่วยในการทำ Personalized Marketing
- Data Analytics
- Google Analytics: เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลเว็บไซต์ที่ช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้งานและข้อมูลเชิงลึกอื่นๆ เช่น แหล่งที่มาของการเข้าชม, ระยะเวลาในการเข้าชม, และการมีส่วนร่วมกับเนื้อหาต่างๆ
- Adobe Analytics: ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เพื่อให้แบรนด์สามารถระบุแนวโน้มและทำความเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าในเชิงลึก
- Marketing Automation
- Mailchimp: เครื่องมือที่ช่วยในการส่งอีเมลแบบอัตโนมัติ สามารถออกแบบแคมเปญการตลาดที่สอดคล้องกับพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ActiveCampaign: ช่วยจัดการแคมเปญการตลาดอัตโนมัติ รวมถึงการสร้าง Workflow ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองต่อการกระทำของลูกค้า เช่น การส่งอีเมลตามพฤติกรรมการเข้าชมเว็บไซต์
- AI และ Machine Learning
- IBM Watson: ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์และสามารถสร้างประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคลได้อย่างแม่นยำ
- Amazon Personalize: บริการ Machine Learning ที่ช่วยให้แบรนด์สามารถสร้างการแนะนำสินค้าและเนื้อหาที่ตรงกับความสนใจของลูกค้าแบบเฉพาะเจาะจง
ตัวอย่างความสำเร็จของแบรนด์ที่ใช้ Personalized Marketing
ตัวอย่างแบรนด์ระดับโลก:
- Nike – ใช้แพลตฟอร์ม “Nike By You” ให้ลูกค้าออกแบบรองเท้าของตัวเองได้ ตั้งแต่การเลือกสี ใส่ชื่อ ไปจนถึงการเลือกวัสดุและสไตล์ นอกจากนี้ยังใช้ข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานแอป เช่น การวิ่ง การออกกำลังกาย เพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์เสริมและอุปกรณ์การออกกำลังกายที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้ใช้แต่ละคน
- Warby Parker – สร้างประสบการณ์การซื้อแว่นตาออนไลน์ที่ใกล้เคียงกับร้านจริงผ่านระบบ “Home Try-On” ให้ลูกค้าเลือกแว่นตา 5 แบบไปลองที่บ้านฟรี พร้อมระบบ AR ในแอปสำหรับลองแว่นเสมือนจริง และการวิเคราะห์ข้อมูลการเลือกแว่นเพื่อเสนอแบบที่เหมาะกับสไตล์ของลูกค้า
- Sephora – ใช้โปรแกรม “Beauty Insider” เก็บข้อมูลการซื้อสินค้า สไตล์การแต่งหน้า สีผิว และพฤติกรรมการช้อปปิ้ง เพื่อเสนอผลิตภัณฑ์และเคล็ดลับการแต่งหน้าที่เหมาะกับแต่ละคน พร้อมแอป “Virtual Artist” สำหรับทดลองแต่งหน้าผ่านการถ่ายภาพ
ตัวอย่างแบรนด์ไทย:
- Central Group – ใช้ The 1 Card เก็บข้อมูลการซื้อสินค้าและพฤติกรรมลูกค้า เพื่อส่งโปรโมชั่นเฉพาะบุคคล ส่งผลให้อัตราการใช้คูปองเพิ่มขึ้น 45% เมื่อเทียบกับการส่งโปรโมชั่นแบบทั่วไป
- AIS – ใช้ข้อมูลการใช้งานโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตเพื่อนำเสนอแพ็กเกจที่เหมาะกับพฤติกรรมผู้ใช้ ทำให้อัตราการต่ออายุแพ็กเกจเพิ่มขึ้น 23%
- SCB – พัฒนาแอป SCB EASY ที่ปรับหน้าจอและฟีเจอร์ตามการใช้งานของแต่ละคน ส่งผลให้ความพึงพอใจของผู้ใช้เพิ่มขึ้น 35%
ข้อควรระวังในการทำ Personalized Marketing
การทำ Personalized Marketing ถือเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าและเพิ่มอัตราการเปลี่ยนแปลง (Conversion Rate) แต่ก็มีข้อควรระวังที่ควรพิจารณาเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ดังนี้:
1. ด้านการจัดการข้อมูล
- การรวบรวมข้อมูลที่มีคุณภาพและเพียงพอต่อการวิเคราะห์
- การทำความสะอาดข้อมูลและจัดระเบียบให้พร้อมใช้งาน
- การอัพเดทข้อมูลให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ
2. ด้านความเป็นส่วนตัวและการปกป้องข้อมูล
- การปฏิบัติตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA)
- การขอความยินยอมจากลูกค้าในการเก็บและใช้ข้อมูล
- การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า
- การสร้างความโปร่งใสในการใช้ข้อมูล
3. ด้านการดำเนินงาน
- ต้นทุนในการลงทุนระบบและเทคโนโลยี
- การพัฒนาทักษะ
- การพัฒนาทักษะทีมงานให้เข้าใจและใช้เทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การประสานงานระหว่างทีมต่างๆ เช่น ทีมการตลาด ทีมไอที และทีมวิเคราะห์ข้อมูล
- การบริหารจัดการทรัพยากรและเวลาในการดำเนินโครงการ
4. ด้านประสบการณ์ลูกค้า
- การรักษาสมดุลระหว่างความเป็นส่วนตัวและการให้ข้อเสนอที่เฉพาะเจาะจง
- การหลีกเลี่ยงการสร้างความรำคาญให้ลูกค้าจากการสื่อสารที่มากเกินไป
- การรักษาคุณภาพของการสื่อสารแม้จะเป็นการทำการตลาดแบบเฉพาะบุคคล
ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ในการทำ Personalized Marketing
จากการศึกษาและรวบรวมข้อมูลจากหลายองค์กร พบว่าการทำ Personalized Marketing สามารถสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่า:
ด้านการขายและรายได้
- เพิ่มอัตราการเปิดอีเมลขึ้น 29%
- เพิ่มอัตราการคลิกลิงก์ในอีเมลขึ้น 41%
- เพิ่มยอดขายเฉลี่ย 20-30%
- เพิ่มมูลค่าตะกร้าสินค้าเฉลี่ย 40%
ด้านความสัมพันธ์กับลูกค้า
- เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า 35%
- ลดอัตราการยกเลิกบริการ 25%
- เพิ่มอัตราการกลับมาซื้อซ้ำ 50%
- เพิ่มการแนะนำบอกต่อ 45%
แนวโน้มของ Personalized Marketing ในอนาคต

การใช้ AI และ Machine Learning ที่ซับซ้อนขึ้น เทคโนโลยี AI จะช่วยวิเคราะห์ข้อมูลและพฤติกรรมลูกค้าได้แม่นยำขึ้น สามารถคาดการณ์ความต้องการและนำเสนอสินค้าหรือบริการได้ก่อนที่ลูกค้าจะรู้ตัวว่าต้องการ
การผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ การทำ Omnichannel Personalization ที่เชื่อมโยงประสบการณ์ลูกค้าทั้งในร้านค้าจริงและออนไลน์เข้าด้วยกัน เช่น การใช้ข้อมูลออนไลน์เพื่อปรับปรุงบริการในร้านค้า
การใช้ Voice และ Visual Search การค้นหาด้วยเสียงและภาพจะมีบทบาทมากขึ้น ทำให้แบรนด์ต้องปรับกลยุทธ์ Personalization ให้รองรับพฤติกรรมการค้นหาแบบใหม่
Real-time Personalization การปรับเปลี่ยนเนื้อหาและข้อเสนอแบบเรียลไทม์ตามพฤติกรรมของลูกค้า เช่น การปรับหน้าเว็บไซต์ตามการกดเข้าชมในขณะนั้น
ความเป็นส่วนตัวและความโปร่งใส แบรนด์จะต้องให้ความสำคัญกับความโปร่งใสในการใช้ข้อมูลลูกค้ามากขึ้น และมอบการควบคุมข้อมูลส่วนตัวให้แก่ลูกค้า
Personalized Marketing และ Hyper-Personalized Marketing ถือเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ในยุคดิจิทัลที่ลูกค้ามีข้อมูลและตัวเลือกมากมาย แบรนด์ที่สามารถทำการตลาดแบบรู้ใจลูกค้าได้จะมีความได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การทำ Personalized Marketing ต้องคำนึงถึงความสมดุลระหว่างการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้าและการเคารพความเป็นส่วนตัว รวมถึงต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายต่างๆ ทั้งด้านเทคโนโลยี บุคลากร และการจัดการข้อมูล เพื่อให้การทำการตลาดแบบรู้ใจประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน