Amintra

10 ตุลาคม 2025

Google Lighthouse คืออะไร? วิธีการใช้งานเครื่องมือเช็คสุขภาพเว็บไซต์ฟรี

Google Lighthouse คืออะไร?

Google Lighthouse คือเครื่องมือเช็คคุณภาพและสุขภาพของเว็บไซต์ที่เปิดให้ใช้บริการฟรีโดย Google โดยตัวเครื่องมือ Lighthouse จะทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบ(Audit)หน้าเว็บไซต์ในหน้านั้น ๆ ที่คุณวางลิงก์และคลิกปุ่มวิเคราะห์ เท่านั้นเองตัวรายงาน(Website Report)จะแสดงผล

ในปัจจุบัน Google Lighthouse ได้เปลี่ยนชื่อเรียกเป็น PageSpeed Insights(PSI) เนื่องจากเป้าหมายของ Lighthouse จะเป็นการวัดความเร็วของเว็บไซต์(PageSpeed)เป็นหลัก โดยจะมีข้อมูลที่สามารถเช็คร่วมด้วยได้ เช่น การวิเคราะห์ปัญหาด้านประสิทธิภาพ(performance), การช่วยเหลือพิเศษ(Accessibility),การปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบนเครื่องมือค้นหา(SEO) และอื่นๆ เป็นต้น

ด้วยความสามารถที่หลากหลายของ Google Lighthouse นั่นทำให้การใช้งานมัน เหมาะสำหรับทั้งนักพัฒนาเว็บไซต์ นักการตลาด นักทำ SEO และคนทั่วไปที่ต้องการข้อมูลเกี่ยวกับเว็บไซต์นั้นๆ เพื่อไปใช้ประโยชน์ต่อ

หลักการทำงานของ Google Lighthouse

หลักการทำงาน Google Lighthouse

ด้วยความที่ Google Lighthouse เป็นเครื่องมือโอเพ่นซอร์สที่ใช้ประเมินคุณภาพเว็บไซต์ในด้าน Performance, Accessibility, Best Practices, SEO และ Progressive Web App (PWA) ซึ่งทำงานโดยการจำลองการโหลดหน้าเว็บจริงผ่านระบบเบราว์เซอร์เสมือน เพื่อวัดการตอบสนองของหน้าเว็บในสถานการณ์ใช้งานจริง เช่น ความเร็วในการแสดงผล การประมวลผลของ JavaScript การเรนเดอร์ภาพและเนื้อหา รวมถึงการคำนวณค่ามาตรฐานอย่าง FCP, LCP, CLS, TTI และ TBT กระบวนการนี้ไม่ได้เจาะเข้าไปอ่านไฟล์ในเซิร์ฟเวอร์โดยตรง แต่ใช้การร้องขอไฟล์ผ่าน HTTP เพื่อนำ HTML, CSS, JavaScript และสื่อทั้งหมดมาวิเคราะห์การทำงานของเว็บไซต์แบบครบวงจร

ซึ่งหากใช้ Google Lighthouse ผ่านเว็บไซต์ PageSpeed Insights (pagespeed.web.dev) ระบบจะรัน Lighthouse บนเซิร์ฟเวอร์ของ Google โดยตรง ไม่จำเป็นต้องติดตั้ง Chrome Extension Lighthouse หรือเปิดผ่านเบราว์เซอร์ Chrome เพราะการประมวลผลทั้งหมดเกิดขึ้นบนคลาวด์ ทำให้สามารถเข้าผ่าน Safari, Firefox, Edge หรือเบราว์เซอร์ใดก็ได้ ผลลัพธ์ที่ได้จะมีมาตรฐานเดียวกันกับการรันใน Chrome DevTools แต่มีความเสถียรและเทียบเคียงได้ทุกครั้ง เนื่องจากใช้สภาพแวดล้อมจำลองเดียวกันในการประเมินทุกเว็บไซต์นั่นเอง

วิธีใช้งานและอ่านรายงานใน Google Lighthouse

การใช้งาน Google Lighthouse สามารถทำได้หลายวิธี ทั้งผ่าน Chrome DevTools, ส่วนขยายในเบราว์เซอร์ (Chrome Extension) หรือบนเว็บไซต์ PageSpeed Insights (pagespeed.web.dev) ซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกที่สุดสำหรับผู้ใช้ทั่วไป เพราะไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมเพิ่มเติม เพียงกรอก URL เว็บไซต์ที่ต้องการตรวจสอบแล้วกดปุ่ม “วิเคราะห์ (Analyze)” ระบบจะรัน Lighthouse บนเซิร์ฟเวอร์ของ Google และแสดงผลรายงานอย่างละเอียดให้ทันที 

lighthouse report

สำหรับการแสดงผลรายงาน Google Lighthouse จะสรุปออกมาเป็น 4 หมวดหลัก ได้แก่ Performance, Accessibility, Best Practices, และ SEO (เวอร์ชันเว็บจะไม่รวม PWA) โดยแต่ละหมวดจะมีคะแนนตั้งแต่ 0–100 พร้อมคำแนะนำเชิงเทคนิคเพื่อช่วยปรับปรุงเว็บไซต์ให้เร็วขึ้น ปลอดภัยขึ้น และเป็นมิตรต่อผู้ใช้มากขึ้น

Performance

ปัญหาด้านประสิทธิภาพ

หมวด Performance เป็นส่วนสำคัญที่สุดของ Lighthouse ใช้สำหรับวัดความเร็วในการโหลดหน้าเว็บและการตอบสนองของเว็บไซต์ โดยอ้างอิงจากตัวชี้วัดหลัก เช่น FCP (First Contentful Paint) ที่บอกเวลาที่เนื้อหาชิ้นแรกปรากฏบนหน้าจอ, LCP (Largest Contentful Paint) ที่วัดเวลาการโหลดองค์ประกอบหลักของหน้า, TBT (Total Blocking Time) ที่สะท้อนระยะเวลาที่เว็บไซต์ไม่ตอบสนองต่อการคลิกหรือสั่งงานของผู้ใช้ และ CLS (Cumulative Layout Shift) ที่วัดการขยับขององค์ประกอบระหว่างโหลด หากค่าต่าง ๆ เหล่านี้สูงเกินไป แสดงว่าเว็บไซต์อาจโหลดช้า Hosting กำลังหน่วง หรือประสบการณ์ผู้ใช้ยังไม่ดีพอ การปรับปรุงที่แนะนำได้แก่ การบีบอัดไฟล์ภาพ ใช้รูปแบบไฟล์สมัยใหม่อย่าง WebP, ลดการใช้ JavaScript ที่ไม่จำเป็น และตั้งค่าแคชให้เหมาะสม

Accessibility

การช่วยเหลือพิเศษ

Accessibility หรือการช่วยเหลือพิเศษ จะช่วยตรวจสอบว่าเว็บไซต์สามารถเข้าถึงได้ง่ายสำหรับผู้ใช้ทุกประเภท โดยเฉพาะผู้ที่มีข้อจำกัดทางสายตาหรือการได้ยิน Lighthouse จะตรวจสอบองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น ปุ่ม ลิงก์ และรูปภาพว่ามีคำอธิบาย (alt text) ที่เหมาะสมหรือไม่ รวมถึงตรวจสอบคอนทราสต์ของสีและขนาดตัวอักษรเพื่อให้มั่นใจว่าผู้อ่านมองเห็นและเข้าใจได้ชัดเจน เว็บไซต์ที่มีคะแนน Accessibility สูงมักมีโครงสร้างเนื้อหาที่เป็นมิตรต่อทุกกลุ่มผู้ใช้ และยังช่วยส่งเสริมการจัดอันดับบน Google ในเชิงประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) อีกด้วย

Best Practices

Best Practices

หมวด Best Practices เน้นตรวจสอบมาตรฐานด้านความปลอดภัยและโครงสร้างทางเทคนิคของเว็บไซต์ Lighthouse จะวิเคราะห์ว่ามีการใช้ HTTPS หรือไม่ โหลดไฟล์จากแหล่งที่เชื่อถือได้หรือไม่ ใช้ JavaScript และ API ที่ปลอดภัยหรือมีช่องโหว่ รวมถึงตรวจสอบว่าหน้าเว็บมี error ใน network request หรือ console หรือไม่ เว็บไซต์ที่ได้คะแนนหมวดนี้สูงจะมีความเสถียร ปลอดภัย และทำงานได้ราบรื่นในทุกอุปกรณ์ ในทางกลับกัน หากคะแนนต่ำ มักแปลว่ามีองค์ประกอบที่ควรอัปเดต เช่น การใช้ไลบรารีรุ่นเก่า หรือโค้ดที่ขัดกับแนวทางมาตรฐานสมัยใหม่

SEO

SEO pagespeed

หมวดสุดท้าย SEO คือการตรวจสอบปัจจัยพื้นฐานด้านเทคนิคของ SEO Lighthouse จะช่วยเช็กว่าหน้าเว็บมี title และ meta description ครบถ้วนหรือไม่ มีการตั้งค่า canonical, robots.txt, และ viewport ถูกต้องหรือไม่ รวมถึงรองรับการใช้งานบนมือถือ (mobile-friendly) และมีโครงสร้างภายในที่เหมาะสมต่อการเก็บข้อมูลของ Googlebot หรือไม่ ถึงแม้ Lighthouse จะไม่ลงลึกเท่าเครื่องมือ SEO เฉพาะทาง แต่ถือเป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับการประเมินเบื้องต้น ว่าเว็บไซต์มีโครงสร้างพร้อมสำหรับการจัดอันดับในผลการค้นหาหรือไม่

โดยสรุป Google Lighthouse ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือวัดความเร็วเว็บไซต์เท่านั้นแต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยประเมินคุณภาพเว็บไซต์ในทุกมิติ ทั้งด้านประสิทธิภาพ การเข้าถึง มาตรฐานความปลอดภัย และความพร้อมในการทำ SEO ซึ่งเหมาะสำหรับนักพัฒนา นักการตลาด หรือเจ้าของเว็บไซต์ที่ต้องการเข้าใจภาพรวมของเว็บไซต์ตนเองอย่างเป็นระบบ และปรับปรุงให้ตอบโจทย์ทั้งผู้ใช้และอัลกอริทึมของ Google ได้ดียิ่งขึ้น

TAG ที่เกี่ยวข้อง: