เมื่อการดูหมิ่นออนไลน์และการโกงในออนไลน์เกิดขึ้นง่ายกว่าการถูกหวย ทำให้การโพสต์เตือนภัยหรือประจานมิจฉาชีพจึงกลายเป็นทางเลือกที่หลายคนใช้ป้องกันตัวและช่วยกระจายข่าวแก่สังคม โดยเฉพาะใน Facebook, กลุ่มไลน์ หรือ TikTok
แต่แม้จะตั้งใจดี ถ้าโพสต์ไม่ระวัง คุณอาจเข้าข่ายหมิ่นประมาทหรือผิดกฎหมายคอมพิวเตอร์ได้ นั่นทำให่ในวันนี้ Sixtygram Agency จะพาทุกคนเข้าใจว่าโพสต์แบบไหนถึงจะปลอดภัย ถูกกฎหมาย และไม่เสี่ยงโดนฟ้องกลับ พร้อมช่วยสร้างสังคมออนไลน์ที่ปลอดภัยขึ้นจริง ๆ กันในบทความนี้
โพสต์ประจาน คืออะไร?
การโพสต์ประจานคือการนำเรื่องราวที่ตัวเองถูกโกง ถูกหลอก หรือถูกเอาเปรียบ มาเผยแพร่ต่อสาธารณะเพื่อเตือนคนอื่นไม่ให้ตกเป็นเหยื่อแบบเดียวกัน หลายคนเรียกการกระทำแบบนี้ว่า ดูหมิ่นออนไลน์ เพราะมีการพาดพิงหรือเปิดเผยข้อมูลที่อาจกระทบต่อชื่อเสยงของอีกฝ่าย แม้จะตั้งใจปกป้องสิทธิของตัวเองหรือสังคม แต่ถ้าไม่มีหลักฐานหรือใช้ถ้อยคำรุนแรง ก็อาจเข้าข่ายหมิ่นประมาทตามกฎหมายคอมพิวเตอร์ได้

ปัจจุบันคนส่วนใหญ่นิยมโพสต์ใน Facebook ทั้งบนหน้าโปรไฟล์ส่วนตัวและในกลุ่มสาธารณะ เพราะเข้าถึงผู้คนได้รวดเร็วและกว้างขวาง นอกจากนี้ยังมีการโพสต์ในกลุ่มไลน์ กลุ่มซื้อขาย กระทู้ใน Pantip หรือเว็บแจ้งเตือนคนโกงอย่าง Blacklistseller รวมถึงการใช้ TikTok, Instagram Story หรือคลิปสั้นเพื่อกระจายข้อมูล
หลายครั้งผู้โพสต์ เผยแพร่เนื้อหาเตือนโดยใส่ชื่อมิจฉาชีพหรือเลขบัญชีที่โดนโกงด้วยตั้งใจดี อยากป้องกันผู้อื่น แต่หากไม่ระวัง อาจถูกฟ้องร้องหรือเรียกค่าเสียหายได้ การเข้าใจหลักการ กฎหมายคอมพิวเตอร์และใช้สิทธิในการแสดงความคิดเห็นอย่างสุจริตจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในยุคที่ ดูหมิ่นออนไลน์ กลายเป็นประเด็นละเอียดอ่อนและเกิดขึ้นบ่อยในโลกโซเชียลมีเดีย
โพสต์ประจาน เสี่ยงผิดกฎหมาย?

เวลาถูกโกงหรือโดนหลอกลวง หลายคนเลือกใช้วิธี โพสต์ประจาน ผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook กลุ่มไลน์ หรือเว็บไซต์ Blacklist seller เพื่อเตือนคนอื่น แต่การกระทำลักษณะนี้เคยถูกตีความว่าเป็นความผิดฐาน หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ซึ่งกำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท หากเป็นการด่าต่อหน้า จะเข้าข่าย ดูหมิ่น ตามมาตรา 393 โทษจะเบากว่า แต่ถ้าโพสต์กล่าวหาหรือประจานบุคคลที่ 3 ในที่สาธารณะ มักถูกมองว่าเป็นการหมิ่นประมาท แม้เจตนาจะเตือนคนอื่นก็ตาม หลายคนจึงหวาดกลัวการฟ้องร้อง และเลือกที่จะไม่แจ้งเตือน ทำให้มิจฉาชีพยังคงมีพื้นที่ในสังคมออนไลน์
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน หลักกฎหมายเรื่องการโพสต์ประจานนี้เริ่มเปลี่ยนไปหลังคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2114/2566 ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ศาลเห็นว่าการโพสต์เตือนภัยประชาชน หากทำด้วยความสุจริต ติชมโดยเป็นธรรม ไม่มีการด่าเสริม และมีมูลเหตุให้เชื่อว่าเป็นความจริง สามารถถือเป็นการ ใช้สิทธิป้องกันส่วนได้เสียโดยชอบธรรม ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
โดยใน คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2114/2566 ยังวางหลักไว้ว่าแม้คนโพสต์จะไม่ได้เป็นผู้เสียหายโดยตรง เช่น พี่น้องหรือคนใกล้ชิดก็สามารถโพสต์ได้ กรณีนี้ช่วยขยายสิทธิให้ผู้บริโภคและประชาชนทั่วไปกล้าออกมาเตือนกันมากขึ้น ในยุคที่ ดูหมิ่น ออนไลน์ และปัญหาหมิ่นประมาทเกิดขึ้นง่าย การเข้าใจแนวทางใหม่นี้จึงสำคัญมาก และต้องไม่ลืมว่าการโพสต์ต้องอิงข้อเท็จจริง ระวังถ้อยคำ และไม่ละเมิด กฎหมายคอมพิวเตอร์ เพื่อปกป้องตัวเองจากการถูกฟ้องกลับในภายหลัง
ต้องโพสต์เตือนแบบไหน ไม่เสี่ยงถูกฟ้องกลับ?

แม้จะมีแนวคำพิพากษาฎีกาใหม่ที่เปิดทางให้ประชาชนสามารถโพสต์เตือนภัยได้ในปี 2566 แต่ใช่ว่าใครจะโพสต์อะไรก็ได้โดยไม่ระวัง เพราะการโพสต์ที่ผิดหลักอาจกลับกลายเป็นการหมิ่นประมาท หรือ ดูหมิ่นออนไลน์ ได้ทันที ถ้าไม่ต้องการเสี่ยงคดีความและค่าทนายหลักหมื่น สิ่งสำคัญที่สุดคือการโพสต์ต้องอยู่ในกรอบของ การป้องกันตนหรือส่วนได้เสียโดยชอบธรรม และต้องเป็นการติชมด้วยความเป็นธรรม
หลักการสำคัญที่ควรทำก่อนโพสต์เตือนมีดังนี้
- โพสต์ตามข้อเท็จจริง
ต้องเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และคุณต้องมั่นใจว่ามีมูลความจริง ไม่ใช่เรื่องเล่าหรือข่าวลือ - เตรียมพยานหรือหลักฐานให้พร้อม
เช่น สลิปโอนเงิน แชต บทสนทนา สัญญา หรือหลักฐานอื่นที่สามารถยืนยันได้ว่าคุณถูกโกงจริง - ใช้ถ้อยคำสุภาพและไม่เสริมอารมณ์
หลีกเลี่ยงการด่าทอ ใช้คำหยาบ หรือเสริมถ้อยคำโจมตี เพราะจะถือว่าเป็นการใส่ร้ายเกินกว่าเหตุ - หลีกเลี่ยงการยุยงหรือปลุกปั่นให้ผู้อื่นโจมตีอีกฝ่าย
อย่าเรียกร้องให้คนอื่นไปด่า หรือแชร์ต่อด้วยถ้อยคำรุนแรง เพราะจะเปลี่ยนจากการเตือนเป็นการประจานที่เข้าข่ายหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา - โพสต์ด้วยเจตนาบริสุทธิ์เพื่อประโยชน์สาธารณะ
แสดงให้ชัดว่าทำเพื่อเตือนสังคม ไม่ใช่เพื่อแก้แค้นหรือทำลายชื่อเสียงส่วนตัว

หากทำตามนี้ โอกาสที่จะถูกฟ้องจะลดลงมาก และสังคมจะเข้าใจว่าคุณโพสต์ด้วยความหวังดี ไม่ใช่จากเจตนาร้ายส่วนตัว ทั้งยังช่วยสร้างความปลอดภัยให้กับคนอื่น ๆ ได้จริงในโลกออนไลน์
สรุปถูกโกงโพสต์เตือนได้ ตามแนวฎีกา 2114/2566
กรณีนี้เป็นตัวอย่างสำคัญที่เปลี่ยนแนวทางการตีความของศาลเกี่ยวกับการโพสต์เตือนภัยสังคม ซึ่งก่อนหน้านี้ การโพสต์ประจานมักจะถูกมองว่าเข้าข่ายหมิ่นประมาทและอาจโดนฟ้องร้องได้ทันที
โดยในคดีนี้ จำเลยได้โพสต์ข้อความในกลุ่มไลน์ยืนยันว่าโจทก์ร่วมโกงเงิน โดยรับเงินไปแล้วแต่น้องสาวจำเลยไม่ได้เดินทางไปทำงานต่างประเทศตามที่ตกลงกัน และโจทก์ร่วมยังไม่คืนเงิน แถมยังฟ้องกลับน้องสาวจำเลยอีก จำเลยจึงโพสต์เตือนเพื่อนในกลุ่มว่าอย่าไปหลงเชื่อหรือโอนเงิน เพราะอาจตกเป็นเหยื่อได้อีก
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยมีเจตนาเพื่อเตือนสังคม ไม่ได้ตั้งใจจะใส่ร้ายหรือกลั่นแกล้ง และเป็นการโพสต์โดยสุจริตใจ มีมูลเหตุอันควรเชื่อว่าข้อความนั้นเป็นจริง จึงถือว่าเป็นการใช้สิทธิในการป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียโดยชอบธรรม รวมทั้งเป็นการติชมด้วยความเป็นธรรมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329 (1) และ (3) การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท และไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ร่วม
แนวฎีกา 2114/2566 นี้จึงเป็นหมุดหมายสำคัญที่ศาลไทยได้เปิดทางให้ประชาชนสามารถโพสต์เตือนภัยได้ หากทำไปโดยสุจริต มีพยานหลักฐาน และมีเจตนาเพื่อประโยชน์สาธารณะจริง ๆ แต่ต้องระวังเรื่องถ้อยคำไม่ให้มีการด่าทอหรือโจมตีเกินกว่าเหตุ เพราะแม้จะมีแนวทางฎีกาใหม่นี้แล้ว การโพสต์แบบไม่ระวังยังเสี่ยงโดนฟ้องกลับได้อยู่ดี ดังนั้น ก่อนจะโพสต์เตือน ควรตรวจสอบหลักฐานให้พร้อม และใช้ถ้อยคำที่เป็นกลางที่สุด เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายอย่างแท้จริง










