Amintra

10 ตุลาคม 2025

รู้จัก Search Engine Results Page(SERP) แบบละเอียด ในปี 2025

หลายคนที่กำลังค้นหาคำว่า SERP เราเชื่อว่าค่อนข้างจะไม่คุ้นหูสำหรับนัก SEO มือใหม่ หากแต่เคยเห็นคำนี้ผ่านคอร์สเรียน รีพอร์ท หรือบทความที่ต่างชาติเลือกใช้ แต่หากกล่าวถึง หน้าแสดงผลลัพธ์การค้นหา นั้นเป็นอะไรที่เราคุ้นเคยและใช้กันบ่อย ๆ อย่างแน่นอน

นั่นทำให้ในวันนี้ Sixtygram Agency จะพาคุณมาเจาะลึกในเรื่องของ SERP หรือ หน้าแสดงผลลัพธ์การค้นหากันแบบละเอียดยิบซึ่งจะทำให้คุณไม่งง และเข้าใจในทุกแง่มุมของหน้าค้นหาที่จะทำให้การใช้งาน Google Search Engine ของคุณเปลี่ยนไปตลอดกาล

SERP คืออะไร

SERP เป็นคำย่อที่ของ Search Engine Results Page คือ หน้าที่ใช้แสดงผลลัพธ์การค้นหาตามคีย์เวิร์ดของมือค้นหา ในทุกๆครั้งที่คุณคลิกค้นหา(Search) นั่นเอง

โดย SERP จะแสดงผลลัพธ์ที่ประกอบไปด้วย ลิงก์ของหน้าเว็บไซต์(text links) อันดับของลิงก์นั้น ๆ ลิงก์โฆษณา(Ads) ซึ่งบางครั้งอาจปรากฎเป็น วีดีโอ ข่าว หรือ เนื้อหา AI Overview เป็นต้น

serp

ซึ่งการทำอันดับ SEO ล้วนเป็นเป้าหมายส่วนใหญ่ที่ทำให้หลายเว็บไซต์ผลิตบทความและเนื้อหามาเพื่อแสดงผลใน SERP เพื่อแย่งส่วนแบ่งของผู้เข้าชม(Traffic)กันบนเครื่องมือค้นหานั่นเอง

องค์ประกอบของ SERP

หลักการทำงานของ SERP คือเมื่อเราพิมพ์คำค้นหาด้วย Keyword ลงใน Google แต่ละครั้ง หน้าแสดงผลลัพธ์การค้นหา (SERP) จะจัดเรียงข้อมูลออกมาในหลายรูปแบบ เพื่อให้ผู้ใช้ได้คำตอบเร็วที่สุด โดยองค์ประกอบใน SERP มีระบบแสดงผลในรูปแบบที่หลากหลายมาทำงานร่วมกัน ซึ่งเราจะอธิบายในแต่ละส่วนโดยเรียงจากบนลงล่างตามลำดับการแสดงผล ดังนี้

AI Overviews

AI Overview 1

องค์ประกอบใหม่ที่ Google เริ่มนำมาใช้คือ AI Overviews ซึ่งเป็นสรุปเนื้อหาอัตโนมัติที่สร้างโดยระบบปัญญาประดิษฐ์ของ Google ปรากฏอยู่ด้านบนสุดของหน้าค้นหาในบางครั้ง ข้อดีคือช่วยให้ผู้ใช้เห็นคำตอบแบบรวบรัดจากหลายเว็บไซต์ในคราวเดียว โดยยังสามารถคลิกลิงก์แหล่งที่มาเพื่ออ่านเพิ่มเติมได้ จุดนี้จึงกลายเป็นพื้นที่แข่งขันใหม่ของนักทำ SEO ที่ต้องสร้างเนื้อหาให้เข้าใจง่าย ถูกต้อง และเป็นแหล่งข้อมูลที่ระบบเลือกอ้างอิงนั่นเอง

Featured Snippets ถูกแทนที่ด้วย AI Overviews

Featured Snippets หรือที่คนทำ SEO มักเรียกว่า “ตำแหน่งศูนย์” (Position Zero) เนื่องจากปรากฏเหนือผลลัพธ์ทั่วไป รูปแบบนี้จะดึงข้อความบางส่วนจากหน้าเว็บมาแสดงเป็นคำตอบสั้น ๆ เช่น รายการ ขั้นตอน หรือคำอธิบายสั้น ๆ เพื่อให้ผู้ใช้ได้คำตอบโดยไม่ต้องคลิกเข้าเว็บไซต์ เหมาะกับเนื้อหาประเภท “คำถาม–คำตอบ” เช่น “SERP คืออะไร” หรือ “วิธีทำ SEO ให้ติดอันดับแรก”

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน(อัพเดท 10 ตุลาคม 2568) Featured Snippets ถูกแทนที่ด้วย AI Overviews เพื่อแสดงผลแทนแล้ว

ผลการค้นหาทั่วไป (Organic Search Results)

Organic Search Results

Organic Search Results คือส่วนสำคัญที่สุดของ SERP และเป็นพื้นที่ที่นักทำ SEO ทุกคนต้องการให้เว็บไซต์ของตัวเองไปปรากฏอยู่ในนั้น โดยทั่วไปแล้ว Google จะแสดงผลลัพธ์ธรรมชาติประมาณ 10 ลิงก์ต่อหนึ่งหน้า (ไม่รวมโฆษณา) ซึ่งเรียงลำดับตาม “คะแนนความเกี่ยวข้องและคุณภาพของเนื้อหา” โดยผลลัพธ์ในส่วนนี้ไม่ต้องจ่ายเงินเพื่อแสดง แต่ต้องอาศัยการทำ SEO ให้ครบองค์ประกอบที่จะได้แสดงผลใน Organic Search Results ทั้งด้าน On-page, Off-page และ Technical SEO เช่น มีคีย์เวิร์ดที่ตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้ค้นหา มีเนื้อหาที่ตอบคำถามได้จริง ร่วมกับการที่เว็บไซต์โหลดเร็วและใช้งานง่าย และได้รับลิงก์อ้างอิงจากเว็บไซต์อื่น (Backlinks) เป็นต้น

click serp

โดยตำแหน่งลิงก์เหล่านี้มีอิทธิพลสูงมาก เพราะผู้ใช้กว่า 95% จะเลือกคลิกลิงก์ในหน้าแรก และกว่า 32% จะคลิกอันดับ 1 ก่อนเสมอ

รูปภาพ (Image Pack)

Image Pack

เมื่อคีย์เวิร์ดเกี่ยวข้องกับสิ่งที่มองเห็นได้ เช่น “แบบบ้านสวย ๆ” หรือ “อาหารญี่ปุ่น” Google จะดึงชุดภาพ (Image Pack) ขึ้นมาแสดงในส่วนกลางของ SERP เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาด้วยภาพได้สะดวกยิ่งขึ้น หากคลิกภาพ ระบบจะพาไปยังหน้า Google Images หรือเว็บไซต์ต้นทาง ดังนั้นการตั้งชื่อไฟล์รูปและใส่ Alt Text จึงมีผลโดยตรงต่อการติดอันดับในส่วนนี้

และผู้คนยังค้นหา(People Also Ask)

Organic Search Results

อีกหนึ่งฟีเจอร์สำคัญคือ People Also Ask (PAA) หรือ และผู้คนยังค้นหา คือกล่องคำถามที่ Google สร้างขึ้นจากสิ่งที่ผู้ใช้อื่นค้นหาต่อจากคีย์เวิร์ดหลัก เช่น หากค้นคำว่า “SEO คืออะไร” ระบบอาจแสดงคำถามเพิ่มเติมอย่าง “SEO ต้องทำอย่างไรให้ติดหน้าแรก” หรือ “SEO ต่างจาก SEM ยังไง” เมื่อคลิกคำถาม ระบบจะขยายคำตอบพร้อมลิงก์เว็บไซต์ที่เป็นแหล่งข้อมูล ฟีเจอร์นี้ช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บของคุณปรากฏในหลายจุดบนหน้าเดียว

Knowledge Panel

Knowledge Panel

ด้านขวามือของหน้าค้นหามักจะปรากฏ Knowledge Panel หรือ กล่องข้อมูลสรุป ที่แสดงข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับบุคคล แบรนด์ สถานที่ หรือองค์กร โดย Google จะดึงข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น Wikipedia, Wikidata หรือฐานข้อมูลของ Google เอง หากเว็บไซต์ของคุณเป็นแบรนด์หรือธุรกิจจริง การมีโครงสร้างข้อมูล (Structured Data) ที่ถูกต้องจะช่วยให้ระบบดึงข้อมูลของคุณไปแสดงในส่วนนี้ได้

Local Pack

Local Pack

สำหรับคำค้นที่มีเจตนาค้นหาเชิงพื้นที่ เช่น “ร้านกาแฟใกล้ฉัน” หรือ “คลินิกผิวหนังในกรุงเทพฯ” Google จะดึงผลลัพธ์แบบ Local Pack ขึ้นมาแสดง พร้อมแผนที่และรายชื่อธุรกิจใกล้เคียง ซึ่งดึงมาจาก Google Business Profile การจัดการรีวิว การใส่ข้อมูลครบถ้วน รวมถึงความถี่ในการอัปเดตจึงเป็นสิ่งสำคัญในการแข่งขันในส่วนนี้

Paid Search Results

paid organic search results

สุดท้ายคือ Paid Search Results หรือโฆษณาแบบเสียเงิน (Google Ads) ซึ่งจะมีคำว่า Sponsored หรือ Ad อยู่ด้านหน้า มักปรากฏบนสุดหรือท้ายหน้าค้นหา การปรากฏในส่วนนี้ขึ้นอยู่กับการประมูลคีย์เวิร์ด (Bidding) คุณภาพของโฆษณา และความสอดคล้องกับคำค้น แม้จะต้องใช้เงินลงทุน แต่ก็ช่วยให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้รวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงที่ยังทำ SEO ไม่ติดอันดับ

หน้า SERP ในยุคใหม่จึงไม่ได้เป็นเพียงลิสต์ของลิงก์ธรรมดาอีกต่อไป แต่คือสนามแข่งขันที่เต็มไปด้วยหลายฟีเจอร์ซึ่งล้วนแย่งพื้นที่บนหน้าจอ นักทำ SEO ที่เข้าใจ “องค์ประกอบของ SERP” จะสามารถวางกลยุทธ์ให้เนื้อหาของตัวเองปรากฏในหลายตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็น Featured Snippet, Image Pack หรือ Local Pack ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลต่อการมองเห็นและการคลิกอย่างมีนัยสำคัญ

TAG ที่เกี่ยวข้อง: