ถ้าคุณเคยนั่งจ้องหน้าจอโดยไม่รู้จะเริ่มเขียนจากตรงไหน คุณไม่ได้อยู่คนเดียว และบทความนี้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ใช่สำหรับคุณ เพราะ Sixtygram Agency เราเข้าใจดีว่าไม่ใช่ทุกคนที่เริ่มเขียนบล็อกได้ง่าย ๆ บางคนเขียนเพราะต้องทำ SEO บางคนเขียนเพราะอยากเล่าเรื่อง แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี บางคนก็มีเนื้อหาที่อยากแชร์เต็มหัว แต่จัดวางยังไงก็ยังไม่ถูกใจเสียที
ในบทความนี้ Sixtygram จึงตั้งใจเขียนให้เป็น คู่มือเขียนบล็อกในปี 2025 ที่พาคุณก้าวข้ามจุดนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นนักศึกษา นักเขียน SEO เจ้าของเว็บไซต์ นักการตลาด หรือครีเอเตอร์ที่ต้องสื่อสารกับผู้คนผ่านตัวหนังสือ เราไม่ได้แค่สอนใส่คีย์เวิร์ด หรือเขียนให้ติดอันดับใน Google แต่เราพาให้คุณคิดเป็นตั้งแต่การวางหัวข้อ การเรียบเรียง การเล่าเรื่อง ไปจนถึงการรีไรต์ และตรวจสอบคุณภาพ SEO ให้พร้อมก่อนกดเผยแพร่ เราไม่หวงความรู้ เพราะเราอยากเห็นวงการคอนเทนต์ไทยเติบโตไปด้วยกัน และถ้าคุณอ่านบทความนี้จบ คุณจะไม่แค่นั่งจ้องหน้าจออีกต่อไป แต่จะเริ่มต้นเขียนบล็อกอย่างมั่นใจ พร้อมเข้าใจว่าทุกคำที่คุณเขียนมีคุณค่าเสมอ
- 1. เลือกหัวข้อที่คุณถนัด
- 2. เลือกแพลตฟอร์มที่จะเผยแพร่ให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย
- 3. ระดมความคิดและวางโครงร่างเนื้อหา
- 4. เขียนเรียงความคิดด้วยโครงสร้างที่เป็นระบบ
- 5. เริ่มต้นด้วยอินโทรที่น่าสนใจ
- 6. เขียนให้เหมือนคุยกับผู้อ่านโดยตรง
- 7. ใช้สูตรการเขียน
- 8. ใส่เรื่องเล่าให้คนรู้สึกว่าเป็นเรื่องจริง
- 9. เลือกมุมมองของตนเองไม่เดินตามบทความคนอื่น
- 10. เขียนร่างแรกให้จบอย่าเพิ่งแก้
- 11. ปรับภาษาและโทนให้เหมาะกับกลุ่มผู้อ่าน
- 12. พักก่อนแล้วค่อยกลับมารีไรต์
- 13. กลับมารีไรต์ร่างแรก
- 14. ตั้งชื่อบทความให้น่าสนใจและตรงประเด็น
- 15. ตรวจเรื่อง SEO ก่อนเผยแพร่
- บทสรุปส่งท้าย
1. เลือกหัวข้อที่คุณถนัด

การเริ่มต้นเขียนบล็อกที่ดี ไม่ได้เริ่มจากการเปิด Google Docs แล้วพิมพ์แบบไร้ทิศทาง แต่เริ่มจากการหาคำถามที่ใช่ เช่น คุณจะเขียนเรื่องอะไร? และ คุณรู้เรื่องนั้นดีแค่ไหน? ซึ่งหัวข้อที่ดีควรเป็นเรื่องที่คุณมีประสบการณ์ตรง หรืออย่างน้อยก็เคยศึกษาและมีมุมมองที่เฉพาะเจาะจง(Niche) เช่น ถ้าคุณเคยขายของออนไลน์มาก่อน การเขียนบล็อกเรื่อง “เทคนิคการตั้งราคาบน Shopee” จะให้ประโยชน์ได้มากกว่าแค่รีวิวสินค้าบน Shopee ทั่วไป
ทั้งนี้ การเลือกหัวข้อที่คุณชอบจะช่วยให้บทความมีอารมณ์ร่วมที่น่าเชื่อถือ กล้าแสดงความคิดเห็นส่วนตัว และตอบคำถามของผู้อ่านได้ลึกกว่าแค่การแปลข้อมูลจากที่อื่น
2. เลือกแพลตฟอร์มที่จะเผยแพร่ให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย

ก่อนจะลงมือเขียนบล็อกบทความ สิ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่าการคิดหัวข้อคือ คุณจะเผยแพร่บทความนี้ที่ไหน? ผ่านช่องทางใด? เพราะแต่ละแพลตฟอร์มมีกลุ่มผู้อ่านและวิธีการอ่านที่แตกต่างกัน ส่งผลต่อการออกแบบเนื้อหาทั้งเรื่อง สำนวน, โครงสร้าง, ความยาว ไปจนถึง ภาพประกอบที่คุณจะต้องออกแบบ
ตัวอย่างแพลตฟอร์มที่คนไทยนิยมใช้ ได้แก่
เว็บไซต์ส่วนตัว(บล็อก) : เหมาะกับบทความแนวที่เริ่มต้นด้วย ขั้นตอนวิธี, เทคนิค, คืออะไร? หรือเนื้อหาที่ต้องการผลระยะยาวใน Google ควรเขียนให้เป็นระบบ แบ่งหัวข้อย่อย (H2, H3) มีรูปภาพประกอบ และใส่คีย์เวิร์ดที่เหมาะสม
Facebook Page / Instagram : เหมาะกับบทความที่เน้นเล่าเรื่อง กระชับ เข้าใจง่าย หรือชวนตั้งคำถาม เน้นภาพหรือ Infographic ที่แชร์ต่อได้ง่าย การเปิดโพสต์ด้วย “Hook” หรือคำโปรยดึงความสนใจคือหัวใจสำคัญ
LinkedIn : เหมาะกับเนื้อหาเชิงวิชาชีพ เช่น บทเรียนจากการทำงาน, กรณีศึกษาทางธุรกิจ, หรือแนวคิดสำหรับคนทำงาน การเขียนควรใช้ภาษากึ่งทางการ แสดงความเห็นเชิงลึก พร้อมเชื่อมโยงกับประสบการณ์จริง
Medium / Blogdit : เหมาะกับบทความที่ใช้สำนวนเล่าเรื่อง มีอารมณ์ร่วม หรือเนื้อหาเชิงสังคม วัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ เน้น Flow ของการเขียนและสไตล์ที่เป็นตัวตนของผู้เขียน
3. ระดมความคิดและวางโครงร่างเนื้อหา

หลังจากมีหัวข้อและรู้ว่าจะเผยแพร่ที่ไหน ขั้นตอนถัดไปคือการระดมไอเดียและจัดระเบียบความคิดก่อนเขียนจริง ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ช่วยลดอาการสมองตันได้อย่างดี เพราะคุณจะมีแผนชัดเจนว่าเนื้อหาจะเดินไปในทิศทางใด
เริ่มจากการระดมไอเดีย (Brainstorm)
คุณสามารถใช้เทคนิคง่าย ๆ เช่น การเขียน Mind Map , การลิสต์หัวข้อหรือประเด็นย่อยในกระดาษ หรือ การตั้งคำถามกับตัวเองว่า บทความนี้จะตอบอะไรให้คนอ่านได้บ้าง? เพื่อให้คุณจดทุกประเด็นที่นึกได้ โดยยังไม่ต้องเรียงลำดับความสำคัญ หลังจากนั้นให้ ทบทวน และ ตัดสิ่งที่ซ้ำหรือไม่จำเป็นออกพร้อมกับขยายความในประเด็นที่น่าสนใจ
จากนั้นวางโครงร่าง (Outline)
เพื่อจัดลำดับความคิดให้มีตรรกะและลื่นไหล เช่น
- เปิดเรื่องด้วยปัญหาหรือคำถาม
- เสนอวิธีแก้ปัญหา
- ขยายด้วยตัวอย่าง ข้อมูล หรือประสบการณ์
- ปิดท้ายด้วยข้อสรุป หรือ Call to Action
ถ้าคุณเขียนบนแพลตฟอร์มที่รองรับการใช้หัวข้อย่อย เช่น WordPress Blog หรือ Medium ควรระบุ H1, H2, H3 ให้ชัดเจนตั้งแต่แรก เพื่อให้บทความอ่านง่าย ทั้งต่อผู้อ่านและระบบ SEO ที่กำลังเรียนรู้เนื้อหาของคุณอยู่ ทั้งนี้คุณอาจใช้ เครื่องมือช่วยวางโครงร่างอย่าง
- Google Docs (ใช้ Headings + Outline View)
- Notion / Trello (ถ้าอยากวางแบบการ์ดหรือบอร์ด)
- AI Tools เช่น Surfer AI หรือ ChatGPT (เพื่อช่วยแตกประเด็นเบื้องต้น)
4. เขียนเรียงความคิดด้วยโครงสร้างที่เป็นระบบ

บทความที่ดีไม่ใช่แค่เขียนเก่งแต่นักเขียนอย่างคุณต้องสามารถที่จะเรียบเรียงเก่งด้วย เพราะผู้อ่านจะไม่อยากติดตามเนื้อหาที่ยาวเกินไป ถ้ารู้สึกว่าอ่านแล้วสะดุด ติดขัด หรือจับประเด็นไม่ได้ ซึ่งวิธีที่ช่วยให้บทความของคุณลื่นไหล คือการจัดโครงสร้างให้เป็นระบบ โดยแยกเนื้อหาเป็นช่วง ๆ อย่างชัดเจน ดังนั้น ลองใช้ไอเดียการแบ่งโครงสร้างของเรา ดังนี้
1. เกริ่นนำ (Introduction): ดึงดูดผู้อ่านด้วยคำถาม หรือปัญหาที่พวกเขากำลังเจอ พร้อมชี้นำว่าบทความนี้จะพาเขาไปเจอคำตอบอะไร
2. เนื้อหา (Body): แบ่งเป็นหัวข้อย่อยตามประเด็นที่วางไว้ เช่น ขั้นตอน วิธีแก้ปัญหา หรือเคสตัวอย่าง พร้อมใช้ ภาษาที่สอดคล้องกันตลอดทั้งบทความ
3. สรุป (Conclusion): รวบประเด็นสำคัญหรือแนะนำขั้นตอนต่อไป เช่น Call to Action หรือข้อคิดที่ผู้อ่านควรนำไปต่อยอด
5. เริ่มต้นด้วยอินโทรที่น่าสนใจ

ลองคิดดูว่าคุณมีเวลาเพียงไม่กี่วินาทีในการคว้าความสนใจแรกจากผู้อ่าน ถ้าเปิดบทความด้วยย่อหน้าแรกที่แสนน่าเบื่อ มีโอกาสสูงมากที่เขาจะเลื่อนผ่านไวๆ หรือปิดหน้าเว็บของเราไปทันที ดังนั้น อินโทรเกริ่นนำที่ดีจึงควรประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลักได้แก่
- Hook (ฮุค) ประโยคแรกที่ดึงดูดความสนใจเหมือนกับหมัดแรกที่คนจะอ่าน ดังนั้น มันจึงจะต้อง
- เป็นคำถามที่ตรงสู่ใจผู้อ่าน
- ประโยคน่าคิดที่สวนทางกับความเชื่อเดิม ๆ
- สถิติจริงที่น่าตกใจ
- เรื่องเล่าสั้น ๆ ที่คนอยากรู้ตอนจบ
- Problem (ปัญหา) เพื่ออธิบายว่าเรื่องที่เรากำลังจะพูดถึง เกี่ยวข้องกับชีวิตผู้อ่านอย่างไร ทำไมเขาควรอ่านต่อ
- Promise (คำสัญญา) แจ้งให้ผู้อ่านรู้ว่าเนื้อหานี้จะพาเขาไปถึงจุดไหน เช่น “ในบทความนี้คุณจะได้พับกับ…” เป็นต้น
ตัวอย่างอินโทรที่ดี
“คุณเคยนั่งมองหน้าเอกสารว่างเปล่าโดยไม่รู้จะเริ่มเขียนยังไงไหม? บทความนี้จะแนะนำเทคนิคการวางโครงสร้างอย่างเป็นระบบ ที่จะช่วยให้คุณเขียนได้เร็วขึ้นและมั่นใจยิ่งขึ้น ตั้งแต่หัวข้อแรกจนถึงบรรทัดสุดท้าย”
6. เขียนให้เหมือนคุยกับผู้อ่านโดยตรง

การเขียนบล็อกบทความให้ดี ไม่ใช่แค่ให้ข้อมูลครบ แต่ต้องทำให้ผู้อ่านรู้สึกเหมือนได้คุยกับคนจริงๆที่กำลังถ่ายทอดความรู้อยู่ด้วย การใช้โทนภาษาที่เป็นมิตร สื่อสารตรงไปตรงมา และเข้าอกเข้าใจผู้อ่าน จะช่วยให้บทความของคุณไม่แห้ง ไม่ห่าง และไม่เหมือนแค่ก๊อบวิกิพีเดียมาแปะไว้
เทคนิคที่ช่วยให้เขียนแบบพูดคุยกับผู้อ่านได้ดีขึ้น
ใช้คำว่า “คุณ”, “เรา” และ “ผม/ดิฉัน” อย่างเป็นธรรมชาติ
เพราะการใช้สรรพนามที่สื่อถึงตัวตนของผู้อ่านและผู้เขียน จะทำให้บทความฟังดูใกล้ชิดและมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น เช่น “ถ้าคุณยังไม่รู้จะเริ่มเขียนยังไง ลองลิสต์สิ่งที่คุณอยากเล่าออกมาก่อนก็ได้ครับ”
เขียนจากมุมปัญหาหรือความรู้สึกที่ผู้อ่านกำลังเจออยู่จริง ๆ
เช่น ถ้าเขียนเรื่อง “วิธีเขียนบล็อก” อาจเริ่มด้วยคำถามอย่าง “เคยมั้ย? อยากเขียนบทความดี ๆ สักบท แต่พอเปิดหน้าเปล่าแล้วกลับพิมพ์ไม่ออกเลย”
ใช้ภาษาให้สั้น กระชับ และไม่วิชาการเกินไป
แทนที่จะเขียนว่า: “การสร้างบทความที่มีคุณภาพควรประกอบด้วยโครงสร้างที่ชัดเจน”
ให้เปลี่ยนเป็น: “ถ้าจะเขียนให้น่าอ่าน โครงสร้างต้องเป๊ะก่อนเลยครับ”
กล้าเล่าเรื่องส่วนตัว หรือความคิดเห็นแบบตรง ๆ
ผู้อ่านชอบฟังเรื่องจริง และอยากรู้ว่า “คนจริง” คิดยังไง เช่น “ผมเองเคยใช้เวลาสามวันกับการเขียนบทนำแค่ย่อหน้าเดียว เพราะไม่รู้จะ ‘hook’ ยังไงให้คนอ่านต่อ จนมารู้ว่า… อย่าคิดมาก แค่เขียนให้คนเข้าใจตัวเองก็พอ”
ใช้ประโยคถาม-ตอบในบทความ
เพื่อสร้างจังหวะและปฏิสัมพันธ์ เช่น “แล้วถ้าเราไม่มีไอเดียเลยล่ะ? อย่าห่วงครับ… เทคนิคง่าย ๆ คือ…”
เขียนให้เหมือนพูดกับคนคนหนึ่ง ไม่ใช่กลุ่มคนในห้องประชุม
ลองจินตนาการว่าคุณกำลังอธิบายเรื่องนี้ให้เพื่อนคนหนึ่งฟัง โดยไม่ต้องประดิษฐ์คำให้ดูเก่ง แต่ให้เขา “เข้าใจง่าย” และ “เชื่อใจคุณ”
7. ใช้สูตรการเขียน

การเขียนบทความที่น่าอ่าน ไม่ได้เกิดจากพรสวรรค์เสมอไป หลายครั้ง สูตรการเขียน(Writing Formula) กลับเป็นตัวช่วยให้คุณเขียนได้เร็วขึ้น เห็นโครงเรื่องชัดขึ้น และทำให้เนื้อหาสื่อสารกับผู้อ่านได้ตรงจุดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเวลาเริ่มเขียนแล้วยังไม่รู้จะขึ้นต้นอย่างไร หรือจะลำดับความคิดแบบไหน
สูตรที่นิยมใช้และได้ผลดีซึ่งได้รับความนิยมและใช้กันในนักเขียนบล็อกได้แก่
1 . PAS (Problem – Agitate – Solution)
สูตรแรกที่ได้รับความนิยมสูงสุด และมักใช้กันบ่อยครั้งคือ PAS ซึ่งเหมาะสำหรับบทความที่ต้องการแก้ปัญหา เช่น “ทำไมเขียนบทความแล้วไม่ติดอันดับ Google”
- P: ปัญหา เช่น “หลายคนอยากเริ่มเขียนบทความ แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง”
- A: ขยายปัญหา เช่น “บางคนลองเขียนแล้ว แต่ไม่มีใครอ่าน ไม่มียอดวิว และหมดกำลังใจ”
- S: แนะนำทางออก เช่น “บทความนี้จะพาคุณวางโครงบทความตั้งแต่ไอเดียจนถึงโพสต์ให้คนอยากอ่าน”
2. AIDA (Attention – Interest – Desire – Action)
สูตรนี้เหมาะกับบทความที่เน้นจูงใจให้ผู้อ่าน ต้องทำอะไรบางอย่าง(Action) เช่น กดสมัครคอร์ส, กดติดตาม, ทดลองใช้ เป็นต้น
- Attention: ดึงดูดสายตา เช่น “คุณรู้ไหมว่า 80% ของบล็อกเกอร์ล้มเลิกใน 3 เดือนแรก?”
- Interest: ชวนให้สนใจ เช่น “เพราะพวกเขาไม่รู้หลักง่าย ๆ ในการวางโครงเนื้อหา”
- Desire: ปลุกความอยาก เช่น “แต่คุณไม่ต้องเป็นแบบนั้น เพราะวันนี้คุณจะรู้วิธี…”
- Action: ชวนทำเลย เช่น “เริ่มอ่านข้อ 1 ด้านล่างได้เลยครับ”
3. SCQA (Situation – Complication – Question – Answer)
เทคนิคสุดท้ายนี้ เหมาะกับบทความที่เล่าแบบเรียงเหตุผล หรือบทวิเคราะห์ เช่น
- S: สถานการณ์ เช่น “ในยุค AI ที่ทุกคนเขียนบล็อกได้ภายในไม่กี่คลิก”
- C: ความซับซ้อน เช่น “เนื้อหาส่วนใหญ่กลับดูไม่ต่างกัน และไม่มีคนอ่าน”
- Q: ตั้งคำถาม เช่น “เราจะแตกต่างอย่างไร?”
- A: คำตอบ เช่น “คำตอบคือ การเข้าใจผู้อ่าน ใช้เครื่องมือ และวางสร้างโครงเรื่องที่ตอบ Pain Point จริง”
8. ใส่เรื่องเล่าให้คนรู้สึกว่าเป็นเรื่องจริง

บทความที่ดีไม่ใช่แค่ให้ข้อมูลแต่ต้องทำให้รู้สึกด้วย และหนึ่งในวิธีที่ทรงพลังที่สุดคือการเล่าเรื่อง เพราะมนุษย์เชื่อมโยงกับประสบการณ์และอารมณ์ได้ดีกว่าข้อเท็จจริงล้วน ๆ การแทรกเรื่องเล่า (storytelling) หรือประสบการณ์จริง (anecdote) จึงทำให้บทความของคุณโดดเด่น มีชีวิต และน่าอ่านขึ้นหลายเท่า
ตัวอย่างการใช้งาน
ถ้าคุณเขียนเรื่อง “วิธีเริ่มเขียนบล็อก” แทนที่จะเริ่มจาก “บล็อกคืออะไร?” ลองเปิดด้วย “ตอนฉันเริ่มเขียนบล็อกวันแรก ไม่มีคนอ่านเลยสักคนเดียว… แต่ฉันยังเขียนต่อ เพราะเชื่อว่าสักวันมันจะช่วยคนที่เจอปัญหาแบบฉันได้”
ถ้าเขียนเรื่อง “ทำไมธุรกิจควรมีบล็อก?” อาจเริ่มด้วย “ลูกค้าใหม่คนหนึ่งที่ทักมาหาเรา บอกว่าเขาอ่านบทความเราเกี่ยวกับ SEO แล้วรู้สึกว่าเราคือคนที่เขากำลังหาอยู่พอดี นั่นคือพลังของบล็อกที่ดี”
เคล็ดลับการเล่าเรื่อง
- ใช้ ภาพจำ เช่น สถานที่ เวลา สภาพแวดล้อม เพื่อให้ผู้อ่าน “มองเห็นภาพ”
- แทรก อารมณ์ เช่น ความดีใจ ผิดหวัง ฮา ประหลาดใจ หรือสับสน
- อย่ากลัวที่จะใช้ภาษาพูดเล็กน้อย เช่น “ตอนนั้นฉันแบบ… เฮ้ย มันใช่อะ!”
9. เลือกมุมมองของตนเองไม่เดินตามบทความคนอื่น

หนึ่งในวิธีทำให้บทความของคุณแตกต่าง และน่าจดจำ มีสองอย่างคือการเลือก มุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ หรือ มุมที่ยังไม่มีใครพูดถึงมาก่อน โดยเฉพาะเมื่อเขียนในหัวข้อที่มีคนเขียนมาแล้วมากมาย เช่น “ทำไมควรเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์” หรือ “เคล็ดลับเขียนคอนเทนต์ให้ปัง”
ดังนั้น ลองถามตัวเองว่า
- มีกี่คนที่เล่าจากประสบการณ์จริง?
- มีใครพูดในมุมที่ “ไม่เป็นที่นิยม” หรือ “ขัดแย้ง” บ้างไหม?
- คุณมีประสบการณ์อะไรที่คนอื่นไม่มี?
ตัวอย่างการพลิกมุม
- หัวข้อยอดนิยม: “ทำไมควรใช้ SEO”
- มุมมองใหม่: “ผมเลิกทำ SEO แล้วขายดีขึ้นกว่าเดิม”
(บทความแบบนี้จะน่าสนใจ เพราะมันท้าทายสิ่งที่คนส่วนใหญ่เชื่อ)
10. เขียนร่างแรกให้จบอย่าเพิ่งแก้

หนึ่งในกับดักของนักเขียนบทความหลายคนคืออยากให้ทุกบรรทัดเพอร์เฟกต์ตั้งแต่แรก ซึ่งมักนำไปสู่การสะดุด ไม่สามารถเขียนจนจบได้ หรือหมดแรงใจกลางทาง เทคนิคสำคัญคือ ให้คุณอนุญาตและยอมรับกับตัวเองเสมอว่าคนเรามันเขียนผิดได้ในดราฟต์แรกเพราะเป้าหมายของร่างแรกไม่ใช่ความสวยงาม แต่คือการเขียนให้ครบถ้วนก่อน
คุณไม่จำเป็นต้องเรียงลำดับหัวข้อให้ถูกต้องในตอนแรก
ยังไม่ต้องหาคำที่ดีที่สุด หรือแก้แกรมมาร์ทุกประโยค
ยังไม่ต้องตกแต่งใส่ภาพ หรือจัดเทมแพลตงานอะไรทั้งสิ้น
แค่เขียนให้ทุกประเด็นที่คุณตั้งใจจะเล่าปรากฏอยู่ในร่างแรกให้ครบ โดยไม่หยุดไปแก้ระหว่างทาง เพราะการตัดสินคุณภาพของข้อความในขณะเขียนจะทำให้คุณหลุดโฟกัสแน่นอน
เทคนิคช่วยให้ร่างแรกเสร็จเร็วขึ้น
- ตั้งเวลา 25–45 นาที เขียนแบบ Pomodoro(เทคนิคจัดการเวลาทำงาน) โดยไม่หยุดดูมือถือหรือรีไรต์
- ใช้เป็นลิสต์(Bullet Point Outline) ที่คุณร่างไว้ก่อนหน้า แล้วเติมเนื้อหาแต่ละข้อให้ครบ
- ถ้าเขียนติดขัด ให้พิมพ์ประโยคง่ายๆ เพื่อโน็ตเอง ไว้ก่อน เช่น “ในส่วนนี้จะอธิบายว่า…” แล้วไปต่อ
11. ปรับภาษาและโทนให้เหมาะกับกลุ่มผู้อ่าน

เมื่อร่างแรกเสร็จแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการทบทวนและปรับภาษาให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายของคุณเพราะภาษาที่ดีไม่ได้แปลว่าต้องหรูหราหรือเป็นทางการเสมอไป แต่หมายถึงภาษาที่เข้าถึงคนอ่านและสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้นเอง
การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายของบทความให้ลองตั้งคำถามกับตัวเองก่อนเริ่มแก้ภาษาว่า
- ผู้อ่านหลักของบทความนี้เป็นใคร? (เช่น นักศึกษา คนทำงานสายมาร์เก็ตติ้ง ผู้ประกอบการมือใหม่ ฯลฯ)
- เขาใช้ภาษาทางการหรือไม่ทางการ?
- เขารู้อะไรอยู่แล้ว? และอยากรู้อะไรเพิ่มเติม?
การรู้จักผู้อ่าน จะช่วยให้คุณเลือกสำนวน รูปแบบการยกตัวอย่าง และโครงสร้างการสื่อสารได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยใช้วิธีปรับโทนภาษา(Tone Of Voice)ให้เหมาะสมดังนี้
- ถ้าเขียนให้ มือใหม่: ใช้ภาษาที่เป็นมิตร เลี่ยงศัพท์เฉพาะหรืออธิบายให้เข้าใจง่าย ใช้ประโยคสั้น กระชับ
- ถ้าเขียนให้ ผู้เชี่ยวชาญหรือคนในสายงาน: อาจใช้ศัพท์เทคนิคได้มากขึ้น และสามารถพูดในเชิงลึกได้มากกว่า
- ถ้าเนื้อหามีความเป็นทางการ เช่น บทความวิชาการ หรือกรณีศึกษา ควรรักษารูปประโยคที่เป็นกลาง สุภาพ ไม่ใช้อารมณ์ความรู้สึกมากเกินไป
- หากต้องการให้ดูเป็นกันเอง เช่น บล็อกแนวเล่าเรื่อง หรือ How-to ไลฟ์สไตล์ อาจใช้คำพูดแบบพูดคุย เช่น “คุณอาจเคยเจอปัญหานี้ไหม?” หรือ “ลองนึกภาพดูว่า…”
12. พักก่อนแล้วค่อยกลับมารีไรต์

หนึ่งในความผิดพลาดที่พบบ่อยของคนเขียนบล็อกคือการเขียนเสร็จแล้วลงเลย โดยไม่ได้เว้นระยะเวลาให้สมองพักและกลับมาทบทวนเนื้อหาอีกครั้ง ซึ่งจริง ๆ แล้ว การพักให้งานเขียนตกตะก่อนคือหนึ่งในกระบวนการเขียนที่ดีที่สุดในการทำให้บทความของคุณเฉียบคมขึ้น และมีคุณภาพที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเราเขียนบทความติดต่อกันนาน ๆ สมองจะคุ้นชินกับข้อความจนมองไม่เห็นข้อผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ การพักสัก 1–2 ชั่วโมง หรือเว้นไปจนถึงวันถัดไป จะช่วยให้คุณกลับมาอ่านบทความด้วยสายตาใหม่ ทำให้สามารถสังเกตเห็นคำซ้ำ ประโยคที่วกวน หรือเนื้อหาที่ไม่ลื่นไหลได้ง่ายขึ้น
นอกจากการช่วยมองเห็นจุดบกพร่อง การเว้นช่วงยังเปิดโอกาสให้คุณประเมินว่าเนื้อหาที่เขียนไปนั้นเข้าเรื่องและตอบโจทย์หรือไม่ มีอะไรที่ควรเพิ่มเติมหรือลำดับใหม่เพื่อให้น่าอ่านยิ่งขึ้น อีกหนึ่งข้อดีที่มักมองข้ามคือ การลดอคติจากตัวผู้เขียนเอง เราทุกคนมักเชื่อว่าสิ่งที่เราเขียนดีแล้ว ซึ่งอาจทำให้พลาดการแก้ไขที่จำเป็น การเว้นระยะจะช่วยลดความลำเอียงนี้ ทำให้คุณกล้าปรับปรุงสิ่งที่ควรปรับจริง ๆ
13. กลับมารีไรต์ร่างแรก

หลังจากที่คุณได้เว้นช่วงพักสายตาและสมองแล้ว การกลับมาอ่านร่างแรกของตัวเองอย่างมีวิจารณญาณคือขั้นตอนสำคัญที่จะเปลี่ยน ไอเดียดีๆ ให้กลายเป็น บทความคุณภาพ ได้อย่างแท้จริง ร่างแรกไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ หน้าที่ของมันคือการนำเสนอแนวคิดหลักและโครงสร้างภาพรวมให้ครบ จากนั้นเราจะมาเกลาและปรับจูนในขั้นตอนนี้
การรีไรต์หรือทบทวนเขียนใหม่ควรเริ่มจากภาพรวมของบทความก่อน เช่น โครงสร้างเรียงลำดับดีหรือยัง? บทนำดึงดูดพอไหม? และแต่ละย่อหน้าสนับสนุนสารหลักได้ดีหรือเปล่า จากนั้นจึงค่อยลงลึกไปที่ระดับภาษาประโยค โดยเฉพาะส่วนที่คลุมเครือหรือฟุ่มเฟือย ควรปรับให้กระชับ ชัดเจน และลื่นไหลมากขึ้น จุดที่เขียนซ้ำหรือใช้คำฟุ่มเฟือยควรตัดออก ส่วนที่อ่านแล้วรู้สึกเฉย ๆ ควรเสริมรายละเอียดหรือเปลี่ยนวิธีเล่า เป็นต้น
14. ตั้งชื่อบทความให้น่าสนใจและตรงประเด็น

ชื่อบทความคือด่านแรกที่จะตัดสินว่าผู้อ่านจะคลิกหรือเลื่อนผ่านไป การตั้งชื่อจึงไม่ใช่แค่การเขียนให้รู้เรื่องแต่ต้อง กระตุกความสนใจ + สื่อใจความชัดเจน ไปพร้อมๆ กัน ดังนั้น หัวข้อที่ดีควรมี 3 คุณสมบัติหลัก ได้แก่
1. ต้องชัดเจน
บอกผู้อ่านว่าบทความนี้เกี่ยวกับอะไร เช่น “วิธีเขียนบล็อก(สำหรับมือใหม่)” ชัดเจนและดีกว่า “เริ่มต้นกับการเขียน”
2. มีจุดขาย
เสนอสิ่งที่ผู้อ่านจะได้รับ เช่น “10 เทคนิคที่นักเขียนมืออาชีพใช้”
3. กระตุ้นอารมณ์หรือความสงสัยได้
เล่นกับคนในด่านแรก โดยใช้คำถาม “ทำไมบทความดีๆ ถึงไม่มีคนอ่าน?” หรือใช้คำเชิงอารมณ์ “เขียนอย่างไรให้คนแชร์?”
ในบางบทความให้ลองใช้ตัวเลข เช่น “5 ขั้นตอน…” หรือ “7 เคล็ดลับ…” การใช้ตัวเลขนำช่วยให้เนื้อหาดูน่าอ่านและจับต้องได้ จากนั้น เล่นกับภาษา เช่น คำคล้องจอง การใช้ภาษาพูด หรือการสื่ออารมณ์ เช่น “เขียนให้อยู่ เขียนให้อ่าน เขียนให้แชร์” แต่อย่าหลอกลวงหรือเว่อร์เกินจริง ชื่อควรสะท้อนเนื้อหาอย่างตรงไปตรงมา
15. ตรวจเรื่อง SEO ก่อนเผยแพร่

ก่อนที่บทความจะเผยแพร่สู่สายตาคนอ่าน การตรวจสอบคุณภาพ SEO เปรียบเสมือนการเก็บงานขั้นสุดท้าย เพื่อให้บทความของคุณ ติดอันดับบน Google, แสดงผลได้ดีทุกอุปกรณ์ และ ตอบโจทย์ผู้อ่านในระยะยาว หากมองข้ามขั้นตอนนี้ แม้บทความจะเขียนดีเพียงใด ก็อาจพลาดโอกาสการมองเห็น และเสียคะแนนความน่าเชื่อถือจากทั้ง Google และคนอ่าน
1. ตรวจคีย์เวิร์ด (Keyword Optimization)
เลือกใช้ คีย์เวิร์ดหลัก ที่มีปริมาณการค้นหาเหมาะสม สอดคล้องกับเจตนาในการค้นหาของผู้อ่าน (Search Intent) และกระจายอยู่ในตำแหน่งสำคัญ เช่น
- URL: ใช้คำสั้น กระชับ เช่น /การเขียนบล็อก
- Title (H1): ใส่ในชื่อบทความระบุให้ชัดเจนและมีคีย์เวิร์ด
- Meta Description: เรื่องย่อต้องมีคีย์เวิร์ด พร้อมชวนคลิก
- ย่อหน้าแรก / H2 / H3 / บทสรุป: สอดแทรกคำสำคัญอย่างเป็นธรรมชาติ โดยหลีกเลี่ยงการยัดคีย์เวิร์ดอย่างไม่สมเหตุสมผล เพราะจะทำให้บทความดูไม่เป็นธรรมชาติ และอาจถูกลดคะแนนจาก Google
2. ตรวจ Meta Title และ Meta Description
- Meta Title: ไม่ควรเกิน 60 ตัวอักษร มีคีย์เวิร์ด และชัดเจนว่าบทความเกี่ยวกับอะไร
- Meta Description: ไม่ควรเกิน 160 ตัวอักษร บอกผู้อ่านได้ชัดเจนว่าจะได้ประโยชน์อะไรจากบทความ และควรลงท้ายด้วยคำกระตุ้นการคลิก เช่น ดาวน์โหลด, ฟรี, ต้องรู้, ห้ามพลาด เป็นต้น
3. ลิงก์ภายใน (Internal Link) และลิงก์ภายนอก (External Link)
- ลิงก์ภายใน: เชื่อมไปยังบทความอื่นภายในเว็บไซต์เรา จะช่วยเพิ่มเวลาที่ผู้อ่านจะอยู่หน้าเว็บเรามากขึ้น และเสริมสร้าง SEO ในระยะยาว
- ลิงก์ภายนอก: ควรอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น หน่วยงานรัฐ, สำนักข่าว, หรือบทความวิชาการ จากเว็บไซต์ภายนอก
4. ความเร็วและการแสดงผลบนทุกอุปกรณ์
ตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณโหลดเร็วและแสดงผลได้ดีบน มือถือ, แท็บเล็ตและคอมพิวเตอร์ โดยใช้เครื่องมืออย่าง Google PageSpeed Insights หรือ GTmetrix เพื่อดูว่า ตัวหนังสืออ่านง่ายหรือไม่, รูปโหลดไวหรือเปล่า และตรวจสอบว่าปุ่มหรือลิงก์ใช้งานได้จริงไหมในสายตาของบอท
5. รูปภาพและ Alt Text
รูปภาพต้องใช้ ภาพคุณภาพสูง ขนาดไม่เกิน 200–300 KB เพื่อลดเวลาโหลด พร้อมใส่ Alt Text ที่สื่อถึงเนื้อหาภาพอย่างชัดเจน (หลีกเลี่ยง Alt ที่ซ้ำซากหรือยัดคีย์เวิร์ด) เพื่อช่วยให้ Google เข้าใจว่าภาพนั้นเกี่ยวข้องกับอะไร และสนับสนุนผลการค้นหาจาก Google Image
6. ตรวจการสะกดคำและความถูกต้องของเนื้อหา
ก่อนโพสต์ ลองอ่านทวนบทความอย่างน้อย 2 รอบ และใช้เครื่องมือตรวจไวยากรณ์ เช่น Grammarly หรือ Sapling ซึ่งหากมีข้อมูลอ้างอิง ควรตรวจปีที่เผยแพร่ และแหล่งที่มาว่ายังทันสมัยและเชื่อถือได้เสมอ
7. การจัดวางบทความ (Formatting)
เราแนะนำว่าให้ใช้ย่อหน้าพารากราฟที่ไม่ควรเกิน 4 บรรทัด เพื่อให้ผู้ใช้อ่านง่ายไม่ยาวเกินไป และใช้ หัวข้อย่อย H2 และ H3 ให้ชินเสมอเพื่อแบ่งส่วน(Section)ของเนื้อหา หรือหากใช้ Bullet หรือ Numbered List ให้ใช้เท่าที่จำเป็น โดยใช้เมื่ออธิบายลำดับหรือจัดหมู่เท่านั้น ทั้งนี้ การใช้เครื่องมือเน้นเฉพาะ คำสำคัญ (Bold) ควรชัดเจน ไม่เน้นทุกคำพร่ำเพรื่อ
ดังนั้น การตรวจ SEO ก่อนเผยแพร่ไม่ใช่เรื่องทางเทคนิคที่เกินเอื้อม แต่คือกระบวนการสำคัญที่จะช่วยให้บทความของคุณ อ่านง่ายติดอันดับและดูน่าเชื่อถือ ทั้งจากสายตาของผู้อ่านและอัลกอริธึมของ Google เป็นการเปลี่ยนบทความธรรมดาให้กลายเป็นบทความคุณภาพที่มีพลังในโลกออนไลน์ได้อย่างแท้จริง
บทสรุปส่งท้าย
เรา Sixtygram ตั้งใจเขียนบทความนี้ขึ้นมาเพื่อทุกคนที่อยากเริ่มต้นหรือพัฒนาการเขียนบล็อกของตัวเองอย่างจริงจัง เราเชื่อว่าบล็อกคุณภาพไม่ได้เกิดจากการจับคีย์เวิร์ดแล้วยัดลงเนื้อหาให้ครบเท่านั้น แต่ต้องเกิดจากกระบวนการคิด วิเคราะห์ และเข้าใจผู้อ่านจริงๆ
เราไม่อยากให้วงการบล็อกกลายเป็นแค่สนามของเนื้อหาที่ไร้จิตวิญญาณ บทความที่เขียนมาเพื่อหากำไรจาก Google แต่ไม่เคยพูดกับคนจริงๆ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมบทความนี้ถึงยาว และลงรายละเอียดทุกขั้นตอน เพราะเราตั้งใจถ่ายทอดให้ลึกกว่าทุกคอร์สเขียนบล็อกแบบผิวเผิน และไม่หวงความรู้ใด ๆ ทั้งสิ้น
หวังว่าคุณจะอ่านจนจบ และนำไปใช้จริง เพราะถ้าคุณนำหลักทั้งหมดนี้ไปฝึกฝนและลงมือทำอย่างต่อเนื่อง คุณสามารถต่อยอดอาชีพจากการเขียนบล็อกได้แน่นอน ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเขียนอิสระ คนทำเว็บไซต์ SEO หรือ Content Creator มือใหม่ สุดท้ายนี้ หากคุณต้องการคู่คิดในการสร้างบทความ SEO ที่ จริงจังทั้งเนื้อหาและผลลัพธ์ Sixtygram คือทีมที่เข้าใจทั้ง เครื่องมือ และ หัวใจ ของการเล่าเรื่อง พร้อมร่วมพัฒนาคอนเทนต์คุณภาพให้เกิดขึ้นในวงกว้างไปด้วยกัน เพราะเรารู้ว่าบทความดีๆคือสินทรัพย์ที่ไม่มีวันหมดอายุ และมันต้องเริ่มจากความตั้งใจเขียนให้ดีที่สุดในทุกครั้งที่กดปุ่มโพสต์