Nattapat

13 ตุลาคม 2024

ขายตรงคืออะไร? ต่างกับแชร์ลูกโซ่อย่างไร พร้อม 6 คดีตัวอย่าง

ขายตรง คืออะไร?

ขายตรง(Direct Selling) คือหนึ่งในรูปแบบการจำหน่ายสินค้าหรือบริการโดยตรงจากผู้ผลิตหรือบริษัทไปยังผู้บริโภค โดยไม่ผ่านร้านค้าปลีกหรือตัวกลางแบบการขายทั่วไป โดยการขายมักเกิดขึ้นนอกสถานที่ค้าปลีกทั่วไป เช่น ที่บ้านหรือที่ทำงานของลูกค้า ผ่านการนำเสนอแบบตัวต่อตัวหรือการสาธิตวิธีการใช้งานสินค้า เป็นต้น

การขายตรงนั้นมีหลายประเภท ได้แก่ การขายตรงแบบชั้นเดียว (Single-level Marketing หรือ SLM) ที่นักขายได้รับผลตอบแทนจากยอดขายของตนเองเท่านั้น และการขายตรงแบบหลายชั้น (Multi-level Marketing หรือ MLM) ที่นักขายสามารถสร้างรายได้จากทั้งการขายสินค้าและการแนะนำคนอื่นเข้ามาเป็นนักขายในเครือข่ายหรือเชิญเข้ามาเป็นดาวน์ไลน์ของตน

ดาวน์ไลน์(Downline) คือกลุ่มสมาชิกที่ถูกชักชวนเข้ามาโดยสมาชิกคนหนึ่งๆ ซึ่งเรียกว่า “อัพไลน์(Upline)” โครงสร้างนี้มักเปรียบเทียบกับลำดับของรูปทรงพีระมิด โดยสมาชิกแต่ละคนสามารถสร้าง ดาวน์ไลน์ของตนเองต่อไปได้ ทำให้เกิดการขยายเครือข่ายแบบทวีคูณ อัพไลน์ที่ชวนจะได้รับผลประโยชน์ทั้งจากยอดขายของตนเองและส่วนแบ่งจากยอดขายของดาวน์ไลน์ของตน

สอนอบรมขายตรง

ธุรกิจขายตรงมักมีระบบการฝึกอบรมนักขายที่จริงจัง ทั้งการสร้างแรงจูงใจผ่านแผนการจ่ายผลตอบแทน การนำเสนอความสำเร็จของนักขายในอดีตอย่าง ยอดขาย และรถยนต์หรู ที่ใช้การขายด้วยการตลาดแบบปากต่อปาก นักขายตรงส่วนใหญ่ทำงานอิสระ ไม่ใช่พนักงานประจำของบริษัท และมักเริ่มต้นด้วยการขายให้กับเครือข่ายคนรู้จักก่อน(Network Marketing) ซึ่งในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ธุรกิจขายตรงถูกควบคุมโดยกฎหมายเฉพาะคือพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 ซึ่งกำหนดให้บริษัทขายตรงต้องจดทะเบียน เปิดเผยข้อมูล และปฏิบัติตามกฎระเบียบเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและป้องกันการดำเนินธุรกิจที่ผิดกฎหมายในกรณีของการแชร์ลูกโซ่ในคราบของบริษัทขายตรง

ในปัจจุบัน ธุรกิจขายตรงกำลังปรับตัวเข้ากับยุคดิจิทัล โดยผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับวิธีการขายแบบดั้งเดิม เช่น การใช้โซเชียลมีเดียในการนำเสนอสินค้า การจัดประชุมอบรมออนไลน์ และการใช้แพลตฟอร์ม E-commerce เพื่ออำนวยความสะดวกในการสั่งซื้อและจัดส่งสินค้าของนักขายตรง เป็นต้น

สรุปขายตรงถูกกฎหมายไหม ?

ขายตรงถูกกฎหมายไหม

การขายตรงในประเทศไทยเป็นรูปแบบธุรกิจที่ถูกกฎหมาย เช่นเดียวกันกับ สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, แคนาดา, ออสเตรเลีย และประเทศในสหภาพยุโรปส่วนใหญ่ที่อนุญาตให้ทำธุรกิจขายตรง แต่อยู่ภายใต้การควบคุมและกำกับดูแลอย่างเข้มงวดตามพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 กฎหมายนี้กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจขายตรงต้องจดทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ก่อนเริ่มดำเนินกิจการ โดยต้องยื่นเอกสารและหลักฐานตามแบบ ขต. 2 ให้ครบถ้วน

อย่างไรก็ตาม เมื่อสรุปจาก พ.ร.บ. ขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 นั้นกฎหมายได้มีข้อจำกัดสำหรับสินค้าบางประเภทที่ไม่สามารถจำหน่ายผ่านช่องทางขายตรงได้ เช่น ยา เครื่องมือแพทย์ สุรา และปุ๋ย รวมถึงสินค้าอื่นๆ ที่กฎหมายห้ามจำหน่ายนอกสถานที่ การดำเนินธุรกิจขายตรงโดยไม่ได้รับอนุญาตมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ กฎหมายยังกำหนดคุณสมบัติของผู้ประกอบธุรกิจขายตรง โดยต้องไม่เคยถูกเพิกถอนทะเบียนการประกอบธุรกิจขายตรงหรือตลาดแบบตรงในระยะเวลา 5 ปีก่อนวันยื่นคำขอจดทะเบียน และผู้บริหารต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม เช่น เป็นบุคคลล้มละลาย หรือเคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุด เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

ท้ายที่สุด สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักคือ แม้ธุรกิจขายตรงจะถูกกฎหมาย แต่แชร์ลูกโซ่ซึ่งบางครั้งแอบแฝงมาในรูปแบบของขายตรงนั้นผิดกฎหมาย การแยกแยะระหว่างธุรกิจขายตรงที่ถูกกฎหมายกับแชร์ลูกโซ่จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้บริโภคและนักลงทุน

แชร์ลูกโซ่ คืออะไร?

แชร์ลูกโซ่(Ponzi Scheme หรือ Pyramid Scheme) เป็นรูปแบบการฉ้อโกงหรือการหลอกลวงทางการเงินลักษณะหนึ่งที่จะจ่ายผลตอบแทนที่สัญญาไว้ให้กับนักลงทุนรายแรกๆ โดยใช้เงินจากนักลงทุนรายใหม่โดยไม่ได้มีผลกำไรของธุรกิจนั้น ๆ จริง ซึ่งแชร์ลูกโซ่มักสัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนสูงโดยมีความเสี่ยงต่ำหรือไม่มีความเสี่ยงเลย ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยตามหลักการของการลงทุนในชีวิตจริง

Pyramid scheme

จุดจบของแชร์ลูกโซ่ มาจากความต้องการกระแสเงินสดจากนักลงทุน(สมาชิก)หน้าใหม่อย่างต่อเนื่องเพื่อจ่ายผลตอบแทนให้กับนักลงทุนเก่าตามที่สัญญาไว้ และเมื่อการหานักลงทุนใหม่ชะลอตัวลง ระบบจะล่มสลาย ส่งผลให้นักลงทุนส่วนใหญ่สูญเสียเงินลงทุน ในทางกลับกัน ธุรกิจขายตรงที่ถูกกฎหมายสามารถดำเนินการได้อย่างยั่งยืนโดยไม่ต้องพึ่งพาการหาหรือเชิญชวนสมาชิกใหม่ตลอดเวลา

ความแตกต่างจากขายตรง ?

ในขณะที่ธุรกิจขายตรงที่ถูกกฎหมายเน้นการขายสินค้าหรือบริการจริงให้กับผู้บริโภค แชร์ลูกโซ่ไม่มีการขายสินค้าหรือบริการที่มีมูลค่าจริงให้กับผู้บริโภค หรือ หากมีก็เป็นเพียงฉากบังหน้าเท่านั้น รายได้หลักของแชร์ลูกโซ่มาจากการชักชวนคนใหม่เข้าร่วม และขายสินค้าระหว่างตัวแทนเท่านั้น ไม่ใช่จากการขายสินค้าสู่ผู้บริโภคในท้ายที่สุด

ความผิดทางกฎหมายของแชร์ลูกโซ่

แชร์ลูกโซ่เป็นรูปแบบการหลอกลวงทางการเงินที่ผิดกฎหมายอย่างชัดเจนในประเทศไทย โดยถูกจัดอยู่ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ซึ่งมีบทลงโทษที่รุนแรง ตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 กำหนดโทษจำคุกตั้งแต่ 5-10 ปี และปรับตั้งแต่ 500,000 ถึง 1,000,000 บาท สำหรับผู้ที่ดำเนินการหรือเกี่ยวข้องกับแชร์ลูกโซ่

นอกจากนี้ ยังมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 และ 343 ว่าด้วยการฉ้อโกงประชาชน ซึ่งระบุว่าการหลอกลวงประชาชนโดยแสดงข้อความเท็จหรือปกปิดความจริงเพื่อเอาทรัพย์สินของผู้อื่น มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ความรุนแรงของบทลงโทษตามกฎหมายไทยนี้สะท้อนให้เห็นถึงความร้ายแรงของความผิดและผลกระทบที่กว้างขวางต่อสังคม เนื่องจากแชร์ลูกโซ่มักสร้างความเสียหายทางการเงินให้กับผู้เสียหายจำนวนมาก และส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม การกำหนดบทลงโทษที่รุนแรงนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องปรามไม่ให้มีการกระทำความผิดในลักษณะนี้ และเพื่อคุ้มครองประชาชนจากการถูกหลอกลวงทางการเงิน

ตัวอย่าง 6 คดีแชร์ลูกโซ่ในไทย

แชร์ลูกโซ่เป็นภัยร้ายทางการเงินที่คร่าเงินออมของประชาชนไทยมาอย่างยาวนาน แม้จะมีการเตือนภัยและบทลงโทษที่รุนแรง แต่ก็ยังคงมีผู้ตกเป็นเหยื่ออยู่เสมอ ต่อไปนี้คือ 6 คดีแชร์ลูกโซ่ดัง ที่สร้างความเสียหายมหาศาลในประเทศไทย เพื่อเป็นบทเรียนและเตือนใจแก่ผู้ที่กำลังพิจารณาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงผิดปกติ

1. คดีแชร์แม่ชม้อย

คดีแชร์แม่ชม้อย

คดีแชร์แม่ชม้อย (พ.ศ. 2520-2528) ถือเป็นคดีแชร์ลูกโซ่ครั้งใหญ่และครั้งแรกของไทยที่สร้างความเสียหายมหาศาล โดย “แม่ชม้อย” หรือ “ชม้อย ทิพย์โส” ใช้กลอุบายชักชวนให้ประชาชนลงทุนในธุรกิจน้ำมันที่อ้างว่าให้ผลตอบแทนสูง มีผู้เสียหายกว่า 13,000 คน มูลค่าความเสียหายประมาณ 4,000 ล้านบาท ศาลตัดสินจำคุก 154,005 ปี แต่ด้วยข้อจำกัดทางกฎหมายและการได้รับพระราชทานอภัยโทษ ทำให้แม่ชม้อยรับโทษจริงเพียง 7 ปีเท่านั้น คดีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงของการลงทุนที่เสนอผลตอบแทนสูงเกินจริง

2.คดีแชร์ยูฟัน

ufun token

คดีแชร์ยูฟัน (พ.ศ. 2558) เป็นตัวอย่างของแชร์ลูกโซ่ที่แฝงตัวมาในรูปแบบของสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) โดยชักชวนให้ประชาชนลงทุนใน U-token ด้วยคำมั่นสัญญาว่าราคาจะพุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้มีผู้เสียหายมากถึง 120,000 คน มูลค่าความเสียหายสูงถึง 38,000 ล้านบาท ในปี 2566 ศาลอาญาได้ตัดสินจำคุกจำเลย 22 คน เป็นเวลา 12,255 ปี (จำคุกจริง 20 ปีตามกฎหมาย) ขณะที่ผู้ต้องหาอีกจำนวนมากยังคงหลบหนีอยู่ คดีนี้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของอาชญากรรมทางการเงินในยุคดิจิทัล

3.คดีแชร์แม่มณี

คดีแชร์แม่มณี (พ.ศ. 2562) เป็นกรณีที่ “ธิดาวัลย์ พรหมคุณ” หรือ “แม่มณี” ชักชวนประชาชนร่วมลงทุนในแชร์ทองคำผ่านช่องทางออนไลน์ โดยสัญญาว่าจะได้รับผลตอบแทนสูง มีผู้เสียหายประมาณ 2,500 คน มูลค่าความเสียหายกว่า 1,300 ล้านบาท ศาลตัดสินจำคุกแม่มณีและแฟนหนุ่มเป็นเวลา 12,640 ปี (จำคุกจริง 20 ปีตามกฎหมาย) คดีนี้เน้นย้ำให้เห็นถึงความเสี่ยงของการลงทุนผ่านช่องทางออนไลน์และความสำคัญของการตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบก่อนการลงทุน

4.คดี Forex-3D

forex 3d

คดี Forex-3D (พ.ศ. 2562) เป็นแชร์ลูกโซ่ที่แอบอ้างเป็นการลงทุนในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โดยใช้ดาราและคนดังในวงการบันเทิงเป็นพรีเซ็นเตอร์เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ มีผู้เสียหายที่แจ้งความกับ DSI กว่า 9,000 คน มูลค่าความเสียหายที่รายงานกว่า 2,500 ล้านบาท แต่คาดว่าความเสียหายจริงอาจสูงถึง 40,000 ล้านบาท เนื่องจากผู้เสียหายจำนวนมากไม่กล้าแจ้งความ คดีนี้ยังอยู่ในกระบวนการยุติธรรม โดยผู้ต้องหาหลายรายถูกจับกุมและดำเนินคดีแล้ว คดีนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่ซับซ้อนในการหลอกลวงนักลงทุน

5. คดีแชร์บลิสเชอร์(Blissher)

คดีแชร์บลิสเชอร์

คดีแชร์บลิสเชอร์ (เริ่มปี พ.ศ. 2534) เป็นแชร์ลูกโซ่ที่แฝงตัวในรูปแบบธุรกิจท่องเที่ยว โดยชักชวนให้ผู้คนร่วมเป็นสมาชิกและซื้อแพ็คเกจท่องเที่ยว พร้อมสัญญาว่าจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนและการเชิญชวนคนใหม่เข้าร่วม มีผู้เสียหายกว่า 24,000 คน มูลค่าความเสียหายประมาณ 800 ล้านบาท คดีนี้ใช้เวลาพิจารณานานถึง 21 ปี เนื่องจากมีพยานหลักฐานจำนวนมาก ในที่สุดปี 2554 ศาลฎีกาได้ตัดสินจำคุกผู้บริหาร 120,945 ปี (จำคุกจริง 20 ปี) คดีนี้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนและยืดเยื้อของกระบวนการยุติธรรมในคดีแชร์ลูกโซ่ขนาดใหญ่

6. คดีแชร์เสมาฟ้าคราม

แชร์เสมาฟ้าคราม เป็นอีกหนึ่งคดีแชร์ลูกโซ่ที่สร้างความเสียหายอย่างมากในประเทศไทย โดยอ้างว่าเป็นการลงทุนในธุรกิจบ้านจัดสรร ผู้ดำเนินการใช้กลยุทธ์ชักชวนประชาชนให้ร่วมลงทุนด้วยคำสัญญาว่าจะได้รับผลตอบแทนสูง แต่ในความเป็นจริงเป็นเพียงการนำเงินจากนักลงทุนรายใหม่มาจ่ายให้กับนักลงทุนรายเก่า คดีนี้สร้างความเสียหายทางการเงินอย่างมหาศาล โดยมีมูลค่าความเสียหายสูงถึง 601 ล้านบาท มีผู้เสียหายจำนวนมากที่หลงเชื่อและสูญเสียเงินลงทุน คดีนี้เน้นย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของโครงการลงทุนอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการอ้างอิงถึงธุรกิจที่ดูมีความน่าเชื่อถือ เช่น อสังหาริมทรัพย์ อ้างอิงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3008/2533

ทำไมธุรกิจแชร์ลูกโซ่ยังคงมีอยู่ในไทยทุกยุคสมัย ?

ความเสียหายจากแชร์ลูกโซ่ในประเทศไทยยังคงเป็นปัญหาที่ไม่จางหายไป แม้จะมีการเตือนภัยและบทลงโทษทางกฎหมายที่รุนแรง สาเหตุสำคัญมาจากปัจจัยหลายประการที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมและทัศนคติของคนไทยเอง

ประการแรกคือความโลภที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ผู้คนตกเป็นเหยื่อของแชร์ลูกโซ่ ความต้องการผลตอบแทนสูงในระยะเวลาอันสั้นทำให้หลายคนละเลยการพิจารณาความเสี่ยงอย่างรอบคอบ ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ระบุว่า แชร์ลูกโซ่ส่วนใหญ่มักสัญญาผลตอบแทนสูงถึง 30-50% ต่อเดือน ซึ่งเป็นอัตราที่สูงเกินกว่าการลงทุนทั่วไปจะให้ได้

ประการที่สอง การขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องการลงทุนและการเงินเป็นอีกปัจจัยสำคัญ ผลสำรวจของธนาคารแห่งประเทศไทยในปี 2563 พบว่า คนไทยมีระดับความรู้ทางการเงินเฉลี่ยอยู่ที่ 61.0 คะแนนจาก 100 คะแนน ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับปานกลาง การขาดความรู้พื้นฐานทำให้ไม่สามารถแยกแยะระหว่างการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงกับแชร์ลูกโซ่ได้

นอกจากนี้ ความต้องการมีรายได้เพิ่มในภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทายก็เป็นแรงผลักดันให้คนเข้าร่วมในแชร์ลูกโซ่ ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า ในปี 2565 ครัวเรือนไทยมีหนี้สินเฉลี่ย 501,499 บาท เพิ่มขึ้น 9.3% จากปีก่อนหน้า สะท้อนให้เห็นถึงภาระทางการเงินที่เพิ่มขึ้นของประชาชน

ลักษณะนิสัยการเชื่อใจคนง่ายของคนไทยก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง วัฒนธรรมไทยที่เน้นความสัมพันธ์และการพึ่งพาอาศัยกันทำให้หลายคนตัดสินใจเข้าร่วมแชร์ลูกโซ่เพียงเพราะคนรู้จักชักชวน โดยไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียด

การขาดวิจารณญาณในการวิเคราะห์ข้อมูลก็เป็นปัญหาสำคัญ ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารท่วมท้น การแยกแยะระหว่างข้อมูลที่น่าเชื่อถือกับข้อมูลที่บิดเบือนเป็นทักษะที่จำเป็น แต่หลายคนยังขาดทักษะนี้ ทำให้ตกเป็นเหยื่อของการโฆษณาชวนเชื่อได้ง่าย

โดยสรุปแล้ว การที่คนไทยยังคงตกเป็นเหยื่อของแชร์ลูกโซ่อย่างต่อเนื่องนั้น สะท้อนให้เห็นถึงการขาดประสบการณ์ในการลงทุนอย่างแท้จริง ซึ่งรวมถึงความรู้ทางการตลาด ทักษะ และทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับการจัดการการเงินและการลงทุน การแก้ไขปัญหานี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการให้ความรู้ทางการเงิน ติดตามเพจความรู้เกี่ยวกับเรื่องแชร์ลูกโซ่ที่สมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทย เพื่อสร้างความตระหนักถึงความเสี่ยง และส่งเสริมการคิดวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง

การป้องกันตนเองจากแชร์ลูกโซ่

การแยกแยะระหว่างธุรกิจขายตรงที่ถูกกฎหมายกับแชร์ลูกโซ่ เบื้องต้นสามารถทำได้โดยพิจารณาว่า

  1. มีการขายสินค้าหรือบริการที่มีมูลค่าจริงหรือไม่?
  2. รอบตัวเรามีคนใช้สินค้าหรือบริการเหล่านี้มากน้อยเพียงใด?
  3. ผลตอบแทนที่บริษัทเสนอสมเหตุสมผลหรือไม่?
  4. รายได้หลักของธุรกิจมาจากการขายสินค้าหรือการชักชวนคนใหม่เข้าร่วม? และ
  5. ธุรกิจขายตรงที่ถูกต้องตามกฎหมายและได้รับความน่าเชื่อถือ ย่อมเป็นสมาชิกของสมาคมการขายตรงไทยเสมอ

ทั้งนี้ คุณสามารถ ค้นหาข้อมูลการจดทะเบียนการประกอบธุรกิจตลาดแบบตรง จากชื่อผู้ประกอบธุรกิจ/เลขทะเบียนนิติบุคคล ที่นี่

หากในกรณีที่ตรวจสอบจากผลการค้นหาแล้วไม่พบ: เราแนะนำให้สันนิษฐานว่า “บริษัทขายตรงนั้นอาจดำเนินการในรูปแบบของแชร์ลูกโซ่อยู่และควรหลีกเลี่ยง” เนื่องจากไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค

โดนแชร์ลูกโซ่แบบขายตรงหลอก ต้องทำอย่างไร?

ขายตรงหลอก

หากท่านสงสัยว่ากำลังตกเป็นเหยื่อของแชร์ลูกโซ่ การดำเนินการอย่างรวดเร็วและเป็นระบบเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ขั้นตอนแรกคือการรวบรวมหลักฐานทั้งหมดที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด ซึ่งอาจรวมถึงหน้าเว็บไซต์ของธุรกิจที่ต้องสงสัย รูปโปรไฟล์ของผู้ที่ชักชวนท่านเข้าร่วม(แม่ข่ายหรือแม่ทีม) บันทึกการสนทนาที่แสดงชื่อผู้ที่อาจเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด รายละเอียดบัญชีธนาคารที่ใช้ในการรับโอนเงิน หลักฐานการโอนเงิน และเอกสารสำคัญอื่นๆ เช่น สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของท่าน

เมื่อรวบรวมหลักฐานเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการแจ้งความดำเนินคดี ซึ่งควรทำภายใน 3 เดือนนับจากวันที่ท่านทราบว่าถูกหลอก ท่านสามารถติดต่อศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ผ่านสายด่วน 1441 หรือเว็บไซต์ thaipoliceonline.go.th เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว การแจ้งความออนไลน์ช่วยให้ท่านสามารถดำเนินการได้ทันทีโดยไม่ต้องเดินทางไปยังสถานีตำรวจ

นอกจากนี้ หากท่านต้องการคำปรึกษาทางกฎหมายเพิ่มเติม สภาทนายความได้เปิดบริการให้คำปรึกษาทางกฎหมายฟรีตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด ผ่านสายด่วน 1167 หรือแอปพลิเคชันไลน์ ID: @lct249 บริการนี้สามารถช่วยให้ท่านเข้าใจสิทธิทางกฎหมายของตนเองและขั้นตอนการดำเนินการต่อไปได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

การดำเนินการอย่างรวดเร็วไม่เพียงแต่จะเพิ่มโอกาสในการติดตามผู้กระทำผิดและเรียกคืนเงินที่สูญเสียไป แต่ยังช่วยป้องกันไม่ให้มีผู้เสียหายรายอื่นเพิ่มขึ้นด้วย ทั้งนี้ ควรตระหนักว่าการฟ้องร้องดำเนินคดีอาจใช้เวลานาน ดังนั้น การเก็บรักษาหลักฐานทั้งหมดไว้อย่างดีและการติดตามความคืบหน้าของคดีอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ ในระหว่างนี้ ท่านควรระมัดระวังไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพที่อาจแอบอ้างว่าสามารถช่วยเหลือให้ได้เงินคืนโดยเร็ว ซึ่งอาจเป็นการหลอกลวงซ้ำซ้อน

TAG ที่เกี่ยวข้อง: