URL ไม่ใช่แค่ลิงก์ธรรมดาๆ แต่มันคือโครงสร้างสำคัญของเว็บไซต์ที่ส่งผลทั้งต่อ SEO และประสบการณ์ผู้ใช้งาน และเพราะมันเป็นเพียงส่วนหนึ่งในเรื่องของเว็บไซต์แต่มีความสำคัญขนาดนี้ นั่นทำให้ในวันนี้ Sixtygram Agency จึงได้จัดทำบทความที่จะพาคุณเข้าใจว่า URL คืออะไร? ทำงานอย่างไร? มีส่วนประกอบอะไร? และควรตั้งชื่อ URL อย่างไรให้ทั้ง Google และคนใช้อ่านแล้วเเข้าใจทันทีว่าเนื้อหาหน้านั้นเกี่ยวกับอะไร มาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ
URL คืออะไร?
URL ย่อมาจากคำว่า Uniform Resource Locator ซึ่งคือ ที่อยู่บนโลกออนไลน์ ที่ใช้สำหรับระบุแหล่งข้อมูลเฉพาะ เช่น หน้าเว็บไซต์ รูปภาพ หรือวิดีโอ ซึ่ง URL จะประกอบด้วยหลายส่วน เช่น โปรโตคอล ชื่อโดเมน และเส้นทางของเนื้อหาภายในเว็บไซต์
ตัวอย่าง: https://sixtygram.co/seo-guide/#url-structure
ส่วนประกอบของ URL มีอะไรบ้าง?
หากเปรียบ URL เป็นที่อยู่ของบ้านบนโลกออนไลน์ องค์ประกอบแต่ละส่วนของ URL ก็เปรียบได้กับรายละเอียดในแผนที่ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานและระบบค้นหาเดินทางไปยังข้อมูลที่ถูกต้อง URL หนึ่งชุดไม่ได้ประกอบขึ้นแบบสุ่ม แต่มีโครงสร้างเฉพาะที่ทำหน้าที่แตกต่างกัน ซึ่งเมื่อเข้าใจแต่ละส่วนอย่างชัดเจนแล้ว จะช่วยให้เราสามารถวางโครงสร้างเว็บไซต์ได้อย่างเป็นระบบ ช่วยให้การทำ SEO มีประสิทธิภาพมากขึ้น และมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับผู้เข้าชมเว็บไซต์ สุดท้ายแล้ว URL หนึ่งชุดจะประกอบด้วย 7 ส่วนสำคัญ ได้แก่
1. โปรโตคอล (Protocol)
โปรโตคอลคือส่วนแรกของ URL ที่ระบุวิธีเชื่อมต่อกับเว็บไซต์ เช่น http หรือ https โดย https จะปลอดภัยกว่าเพราะมีการเข้ารหัสข้อมูลผ่าน SSL เหมาะกับเว็บไซต์ที่มีการส่งข้อมูลสำคัญ ทั้งนี้โปรโตคอลยังมีผลต่อความน่าเชื่อถือและอันดับ SEO ด้วย
2. โดเมนย่อย (Subdomain)
โดเมนย่อยอยู่หน้าชื่อโดเมนหลัก เช่น blog.example.com ใช้แบ่งเว็บไซต์ออกเป็นส่วนต่าง ๆ เช่น หน้าบล็อกหรือร้านค้า ช่วยจัดการเนื้อหาได้ชัดเจน แต่ควรใช้ให้พอดี เพราะถ้ามากเกินไปอาจกระทบ SEO
3. โดเมนหลัก (Primary Name)
โดเมนหลักคือชื่อเว็บไซต์ เช่น sixtygram .com ที่ใช้ระบุแหล่งข้อมูลและจดจำได้ง่าย การตั้งชื่อควรสั้น ชัดเจน และเกี่ยวข้องกับธุรกิจ เพื่อให้ผู้ใช้และ Google จดจำได้ทันที
4. โดเมนระดับบนสุด (Top-Level Domain หรือ TLD)
TLD คือส่วนต่อท้ายโดเมนหลัก เช่น .com, .org, หรือ .co.th ใช้ระบุประเภทเว็บไซต์หรือประเทศ การเลือก TLD ที่เหมาะสมช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ และอาจส่งผลต่อการจัดอันดับในผลการค้นหาแบบโลคอล
5. พาธ (Path)
พาธคือเส้นทางภายในเว็บไซต์ที่พาไปยังหน้าเฉพาะ เช่น /blog/seo-tips เป็นส่วนที่ต่อท้ายโดเมนหลัก มีผลต่อความเข้าใจของผู้ใช้และช่วยให้ Google จัดโครงสร้างเนื้อหาในเว็บไซต์ได้ดีขึ้น
6. คิวรีสตริง (Query String)
Query String เป็นค่าพารามิเตอร์ที่ต่อท้าย URL ด้วยเครื่องหมาย ? เช่น ?page=2 ใช้ควบคุมการแสดงผลหรือกรองข้อมูล เช่น การแบ่งหน้า ค้นหา หรือกรองหมวดหมู่ แต่ควรใช้อย่างมีเหตุผลเพื่อไม่ให้ URL ซับซ้อนเกินไป
7. แฟรกเมนต์ (Fragment Identifier)
แฟรกเมนต์คือส่วนที่ตามหลังเครื่องหมาย # ใช้ระบุจุดเฉพาะในหน้าเดียวกัน เช่น #contact เหมาะกับหน้าเว็บยาว ๆ เพื่อให้ผู้ใช้เลื่อนไปยังเนื้อหานั้นได้ทันที แม้จะไม่มีผลต่อ SEO แต่ช่วยให้ใช้งานเว็บได้สะดวกขึ้น
ความสำคัญของ URL ต่อเว็บไซต์
แม้ว่า URL จะเป็นเพียงชุดตัวอักษรที่ดูเรียบง่าย แต่ในโลกของเว็บไซต์และการตลาด URL คือหนึ่งในองค์ประกอบที่ทรงพลังที่สุด เพราะมันไม่ใช่แค่ที่อยู่ของข้อมูล แต่ยังเป็นจุดแรกที่ผู้ใช้งานและเครื่องมือค้นหาใช้ทำความเข้าใจว่า หน้านี้เกี่ยวกับอะไร
URL ที่ดีจะช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าถึงเนื้อหาได้ง่ายขึ้น สร้างประสบการณ์การใช้งานที่ราบรื่น และทำให้เกิดความเชื่อมั่นในแบรนด์ได้ตั้งแต่ก่อนคลิก ขณะเดียวกันก็ช่วยให้ Google รวบรวมข้อมูลและจัดอันดับหน้าเว็บไซต์ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น จึงส่งผลโดยตรงต่ออันดับ SEO และอัตราการแสดงผล (CTR) บนหน้าผลลัพธ์การค้นหา
ยิ่ง URL มีโครงสร้างที่ดี ชัดเจน และเป็นมิตรกับเครื่องมือค้นหาเท่าไร โอกาสที่เว็บไซต์จะปรากฏในตำแหน่งที่ดีและถูกคลิกมากขึ้นก็ยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ URL ที่จดจำง่าย ยังช่วยให้แบรนด์เป็นที่รู้จักและแชร์ต่อได้สะดวก ทั้งในโซเชียลมีเดีย การส่งต่อผ่านแชท หรือการพิมพ์โดยตรง สะท้อนว่า URL ไม่ได้สำคัญแค่ในเชิงเทคนิค แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การสร้างตัวตนและความน่าเชื่อถือในโลกออนไลน์ได้ดีขึ้นอีกวิธีหนึ่ง
ควรตั้ง URL อย่างไร
สำหรับผู้ทำเว็บไซต์หรือนัก SEO การตั้ง URL ที่ดีไม่ใช่แค่ทำให้ลิงก์ใช้งานได้ แต่คือการออกแบบที่ช่วยให้ Google เข้าใจง่าย, ผู้ใช้คลิกมั่นใจ, และ เว็บไซต์มีโอกาสติดอันดับดีขึ้น การตั้งชื่อ URL จึงไม่ควรเป็นเรื่องที่ปล่อยผ่าน เพราะ URL คือส่วนหนึ่งของโครงสร้างเว็บไซต์ที่มีผลตั้งแต่ประสบการณ์ผู้ใช้งาน (UX) ไปจนถึงการจัดอันดับในผลการค้นหา (SEO) โดยนี่คือแนวทางการตั้ง URL ที่ควรนำไปใช้
1. ใส่คีย์เวิร์ดหลักไว้ใน URL
เลือกคำที่สื่อถึงเนื้อหาหลักของหน้านั้น และวางคีย์เวิร์ดไว้ในพาธ URL เพื่อช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาได้ชัดเจนขึ้น เช่น /seo-audit หรือ /เทคนิคทำคอนเทนต์
2. ใช้ขีดกลาง (–) แยกคำแทนการใช้ขีดล่าง (_)
Google แนะนำให้ใช้ขีดกลาง เพราะสามารถแยกคำได้ดีกว่า เช่น seo-strategy ดีกว่า seo_strategy
3. สั้นกระชับอ่านแล้วรู้ว่าคืออะไร
URL ที่ยาวเกินไปทำให้ดูซับซ้อนและเข้าใจยาก ควรใช้ไม่เกิน 3–5 คำ เช่น /about, /blog/seo-basics แทน /page-id=1829383
4. ใช้ตัวพิมพ์เล็กทั้งหมด
URL ควรใช้ lowercase เพื่อป้องกันการเกิด duplicate URL ที่เกิดจากระบบจำแนกตัวพิมพ์เล็ก-ใหญ่แตกต่างกัน
5. วางโครงสร้างแบบลำดับชั้นที่มีความหมาย
URL ควรสะท้อนโครงสร้างเนื้อหา เช่น /blog/seo/on-page ซึ่งแสดงถึงบทความ SEO ประเภท On-page
6. หลีกเลี่ยงพารามิเตอร์ซับซ้อน
หากไม่จำเป็น ควรหลีกเลี่ยง query string เพราะทำให้ URL ดูไม่สะอาด เช่น ?id=123 และยากต่อการแชร์หรือนำไปทำ SEO
7. ลดจำนวนโฟลเดอร์ให้น้อยที่สุด
ยิ่งโฟลเดอร์ลึก ยิ่งทำให้ผู้ใช้และ Google เข้าใจยาก เช่น /category/seo ดีกว่า /2024/june/category/seo/tutorial
8. สอดคล้องกับภาษาและภูมิภาค
หากเว็บไซต์รองรับหลายภาษา ควรแยกภาษาใน URL อย่างชัดเจน เช่น /th/blog หรือ /en/services
9. ไม่เปลี่ยน URL โดยไม่จำเป็น
หากต้องเปลี่ยน URL ควรทำ 301 Redirect อย่างถูกต้องเพื่อไม่ให้เสีย SEO ที่สะสมไว้
10. วางแผน URL ตั้งแต่วันแรก
URL ที่ดีไม่ใช่เรื่องที่มาแก้ทีหลัง การวางโครงสร้าง URL ควรทำตั้งแต่เริ่มวางแผนเว็บไซต์ เพื่อให้สอดคล้องทั้งโครงสร้างข้อมูลและการทำ SEO ในระยะยาว
บทสรุปส่งท้าย
URL อาจดูเป็นองค์ประกอบเล็ก ๆ ของเว็บไซต์ แต่จากที่เราได้สำรวจมาตลอดทั้งบทความ จะเห็นได้ว่ามันคือจุดเริ่มต้นสำคัญของการเข้าถึงข้อมูล การทำ SEO และประสบการณ์ผู้ใช้งาน ตั้งแต่การเข้าใจว่า URL คืออะไร มีส่วนประกอบอะไรบ้าง ไปจนถึงวิธีตั้งชื่อให้ถูกต้องและเหมาะสม ทั้งหมดนี้ล้วนมีผลโดยตรงต่อการที่ผู้ใช้จะคลิกเข้ามา เข้าใจเนื้อหา และอยู่บนเว็บไซต์ของเรานานแค่ไหน ยิ่งเราวางโครงสร้าง URL ได้ดีตั้งแต่แรกเท่าไร เว็บไซต์ก็จะมีฐานที่มั่นคงมากขึ้น ทั้งในมุมของการจัดการเนื้อหา การพัฒนาในระยะยาว และการสื่อสารกับเครื่องมือค้นหา
ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของเว็บไซต์ นักพัฒนา SEO หรือนักการตลาด การใส่ใจในการตั้งชื่อ URL ถือเป็นหนึ่งในพื้นฐานที่ไม่ควรมองข้าม เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่คือสิ่งที่สะท้อนถึงระบบและคุณภาพของเว็บไซต์ในภาพรวมได้อย่างชัดเจนที่สุด