ในยุคที่วิดีโอคอนเทนต์ครองทุกแพลตฟอร์ม เสียงไม่ใช่แค่ส่วนประกอบอีกต่อไป แต่กลายเป็นตัวชี้เป็นชี้ตายความรู้สึกของผู้ชมได้ในไม่กี่วินาที ครีเอเตอร์มืออาชีพจึงให้ความสำคัญกับ “Sound Effect” พอๆ กับภาพที่ใช้ในคลิป ปี 2025 มีแนวโน้มว่าคอนเทนต์วิดีโอจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว โดยเฉพาะบน TikTok, YouTube Shorts, Instagram Reels และ Facebook วิดีโอ ที่สำคัญคือผู้ชมในปัจจุบัน “ฟังเสียงเป็นหลัก” มากกว่าที่เคย วันนี้ Sixtygram ขอสรุป 10 Sound Effect ที่ได้รับความนิยมที่สุดในวงการตัดต่อปี 2025 มาให้คุณเลือกใช้แบบไม่ตกเทรนด์

1. Whoosh (เสียงเคลื่อนไหวเร็ว)
เหมาะกับการเปลี่ยนฉากแบบมีจังหวะ เช่น การสลับภาพสินค้า การเลื่อนผ่านโลเคชัน หรือแม้แต่การเปลี่ยนมุมกล้องแบบรวดเร็ว เสียง Whoosh ยังใช้ร่วมกับโมชั่นกราฟิก เช่น โลโก้เด้งเข้า/ออก หรือข้อความวิ่งผ่านจอ ทำให้เกิดความรู้สึก “ลื่นไหล” และ “ไดนามิก” มากขึ้น ผู้ชมในปัจจุบันมีช่วงความสนใจสั้น การตัดต่อแบบเร็ว กระชับ จึงกลายเป็นมาตรฐานของคลิปออนไลน์ การใส่ Whoosh ทำให้การตัดแต่ละช็อต “ไม่กระแทกตา” แต่กลับรู้สึกเป็นธรรมชาติ เป็นเสียงที่ทำให้คอนเทนต์ดู “โปรขึ้น” ทันทีแม้จะถ่ายด้วยมือถือก็ตาม
ตัวอย่างการใช้งาน:
- คลิปเปิดกล่องสินค้า (Unboxing): ใส่ Whoosh เวลาหยิบของแต่ละชิ้น
- คลิปแต่งหน้า: ใช้เปลี่ยนช็อต Before/After
- คลิปท่องเที่ยว: สลับภาพสถานที่อย่างต่อเนื่องเพื่อคุมจังหวะ
- คลิปพรีเซนต์งานออกแบบ: ตัดเข้าสไลด์หรือแสดงกราฟิกประกอบคำพูด
เทคนิคแนะนำ:
- เลือกใช้ Whoosh ที่ “เบา” สำหรับภาพที่เคลื่อนไหวน้อย และใช้ Whoosh ที่ “แน่น หนัก” เมื่อตัดเปลี่ยนภาพแบบเร็วและแรง
- อย่าลืมปรับระดับเสียง (Volume) ให้สมดุลกับเพลงประกอบหรือเสียงพูด ไม่เช่นนั้นจะกลบเสียงหลักจนเสียจังหวะโดยไม่รู้ตัว
2. Pop (เสียงป๊อป / ดีดนิ้ว)
เสียง Pop มักใช้เพื่อเน้นสิ่งที่ปรากฏขึ้นในคลิป เช่น ข้อความ คำพูดสำคัญ หรือไอคอนต่างๆ ช่วยเพิ่มความสนุก สดใส ให้กับงานตัดต่อ โดยเฉพาะในวิดีโอที่ต้องการจังหวะเด้งๆ แบบเล่นกับสายตาผู้ชม เป็นเสียงที่ “คอนเทนต์ไวรัล” ใช้กันบ่อยมาก เพราะฟังแล้วรู้สึกสั้น กระชับ และจับใจได้ในทันที
ตัวอย่างการใช้งาน:
- คลิปรีวิวสินค้า: ใส่ Pop ตอนโชว์ราคา
- คลิปไลฟ์สไตล์: ข้อความเด้งบนหน้าจอพร้อมเสียง Pop
- คลิป TikTok: ใช้กับการตัดคำหรือเปลี่ยน Outfit
- คลิปโฆษณา: เน้นคำโปรโมชัน เช่น “ฟรี!”, “วันนี้เท่านั้น!”
เทคนิคแนะนำ:
- ใช้เสียง Pop ที่มีโทนต่างกัน (สูง/ต่ำ) เพื่อไม่ให้ซ้ำซากเกินไป
- จับคู่กับการเคลื่อนไหวของวัตถุหรือกราฟิกให้ตรงจังหวะ เพื่อให้ได้อารมณ์เด้งจริง
3. Ding! (เสียงกระดิ่ง)
เสียง Ding! เป็นเสียงสั้นๆ ที่กระตุ้นความรู้สึกว่า “มีบางอย่างเกิดขึ้น” เหมาะสำหรับช่วงที่ต้องการดึงดูดความสนใจ หรือแจ้งเตือนอย่างนุ่มนวล ไม่รบกวน แต่ได้ผล เสียง Ding! ยังให้ความรู้สึก “พร้อมใช้งาน” และ “เป็นมิตร” จึงนิยมมากกับคลิปที่มีการอธิบายหรือพรีเซนต์ข้อมูล
ตัวอย่างการใช้งาน:
- คลิปสอน: ใส่ Ding! เมื่อมีข้อมูลสำคัญ
- คลิปโฆษณา: ใส่เพื่อประกาศโปรโมชัน
- คลิปพรีเซนต์สินค้า: แนะนำคุณสมบัติเด่น
- คลิป Tutorial: เปลี่ยนหัวข้อในวิดีโอ
เทคนิคแนะนำ:
- ใช้ร่วมกับภาพหรือแอนิเมชันเพื่อให้ข้อมูลชัดเจนขึ้น
- หลีกเลี่ยงการใช้เสียง Ding! ที่แหลมหรือยาวเกินไป เพราะอาจกลบเสียงพูด
4. Typing / Keyboard (เสียงพิมพ์)
เสียงพิมพ์ใช้สร้างความรู้สึกว่าผู้พูด “กำลังค้นหา/คิด/ทำงาน” อยู่ ทำให้ฉากที่เป็นจอคอมพิวเตอร์หรือมือถือมีความสมจริงมากขึ้น เสียงนี้ยังนิยมในคลิปแนวเล่าเรื่อง หรือคลิปที่เลียนแบบสารคดี
ตัวอย่างการใช้งาน:
- คลิปเล่าเรื่อง: ใส่ขณะตัวละครค้นหาข้อมูล
- คลิป UX/UI: ใส่ตอนพิมพ์บนหน้าจอ
- คลิปแนวแฮกเกอร์: ใส่เสียงพิมพ์เร็วต่อเนื่อง
- คลิปสารคดี: ใช้ตอนขึ้นข้อมูลเบื้องหลัง
เทคนิคแนะนำ:
- เลือกจังหวะเสียงให้เข้ากับบรรยากาศ เช่น เร็วเพื่อเร่ง หรือช้าเพื่อเน้น
- ใช้กับกราฟิกที่มีการ “พิมพ์ออกมา” เช่น คำพูดบนจอเพื่อให้มีอารมณ์ร่วม
5. Swoosh / Swipe (เสียงปัดจอ)
เสียง Swoosh ช่วยให้ฉากดูมีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง เป็นเสียงที่ใช้คู่กับการเลื่อนผ่าน ชี้นำสายตาผู้ชมให้รับรู้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เสียงนี้เหมาะกับคอนเทนต์แนวเทคโนโลยี ไลฟ์สไตล์ หรือคลิปเล่าเรื่องที่ใช้การเปลี่ยนฉากแบบกวาด
ตัวอย่างการใช้งาน:
- คลิปรีวิวแอป: เลื่อนผ่านเมนูหรือแสดง Feature ใหม่
- คลิป Storytelling: เปลี่ยน Timeline หรือยุคสมัย
- คลิปพรีเซนต์งาน: เปลี่ยนหัวข้อ Slide
- คลิปไฮไลต์สินค้า: แสดงสินค้าหลายรายการต่อเนื่อง
เทคนิคแนะนำ:
- อย่าใส่เสียง Swoosh ถี่เกินไป จะทำให้รู้สึกล้า
- ปรับระดับเสียงให้เบากว่าการเปลี่ยนฉากแบบแรง เช่น Whoosh
6. Camera Shutter (เสียงกล้องถ่ายรูป)
เสียงชัตเตอร์ทำให้ภาพนิ่งมีชีวิต เป็นเสียงที่ผู้ชมเชื่อมโยงกับคำว่า “บันทึกช่วงเวลา” ได้ทันที เหมาะกับคลิปที่ต้องการแสดงความทรงจำ ความสำคัญ หรือเน้นภาพบางช่วงให้โดดเด่น
ตัวอย่างการใช้งาน:
- คลิปท่องเที่ยว: เปลี่ยนจากวิดีโอเป็นภาพนิ่ง
- คลิปพรีเซนต์: โชว์ภาพผลงาน
- คลิปแนวไดอารี่: บันทึกเหตุการณ์สำคัญ
- คลิปโปรโมต: สลับภาพลูกค้าหรือรีวิวสินค้า
เทคนิคแนะนำ:
- ใช้แค่ 1 ครั้งต่อภาพ เพื่อให้คุมจังหวะอยู่
- สามารถใส่เอฟเฟกต์แฟลชซ้อนเพื่อเพิ่มความสมจริง
7. Glitch (เสียงเพี้ยน / ไฟฟ้ากระตุก)
เสียง Glitch เป็นเสียงที่จำลองความผิดปกติทางดิจิทัล เช่น ภาพค้าง ข้อมูลเสีย หรือระบบรวน เสียงประเภทนี้ให้โทนลึกลับ ทันสมัย และบางครั้งก็ดู “ไซเบอร์” มากๆ เหมาะกับการเปิดฉาก หรือเน้นจุดเปลี่ยนที่ไม่ธรรมดา การใส่เสียง Glitch ลงไปในคลิป ทำให้ผู้ชมรู้สึกว่า “บางอย่างไม่ปกติ” เป็นลูกเล่นยอดนิยมในคลิปแนวเทคโนโลยี, สารคดีเจาะลึก, หรือคอนเทนต์ที่ต้องการความน่าดึงดูดแบบนอกกรอบ
ตัวอย่างการใช้งาน:
- คลิปเปิดตัวแอปใหม่: ตัดภาพเป็น Glitch ก่อนแสดงฟีเจอร์
- คลิปเนื้อหาเชิงลับ/เบื้องหลัง: ใส่เสียง Glitch ตอนเปลี่ยนอารมณ์เรื่อง
- คลิปเกม: ตัดเข้าฉากแอคชันหรือฉากพิเศษของตัวละคร
- คลิปกราฟิก: เปลี่ยนโลโก้หรือข้อความด้วยลูกเล่น Glitch Motion
เทคนิคแนะนำ:
- จับคู่กับ Visual Effect ที่มีลักษณะ Glitch เช่น สีเพี้ยน ภาพกระพริบ หรือค้างเฟรม
- ใช้สั้นๆ เฉพาะช่วงเปลี่ยน หรือใช้เป็น transition เสริม Mood ไม่ควรใช้ยาวจนดูรบกวน
8. Crowd Cheer / Clapping (เสียงเชียร์ / ปรบมือ)
เสียงเชียร์เป็นเสียงแห่งการ “สนับสนุน” และ “เฉลิมฉลอง” ที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกว่ากำลังมีคนร่วมยินดีหรือเชียร์อยู่ข้างๆ โดยไม่ต้องมีคนพูดเลย เสียงประเภทนี้มักถูกใช้เพื่อปิดท้ายอย่างน่าประทับใจ หรือย้ำว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นคือสิ่งที่ควรภาคภูมิใจ” เหมาะกับคลิปแนวแรงบันดาลใจ คำพูดปลุกใจ คลิปสรุปยอด หรือคอนเทนต์เชิงกิจกรรม
ตัวอย่างการใช้งาน:
- คลิปสรุปยอดขาย/เป้าหมาย: เสียงเชียร์หลังโชว์ตัวเลข
- คลิปแรงบันดาลใจ: ปิดท้ายหลังพูดประโยคเด็ด
- คลิปพรีเซนต์ผลงาน: หลังโชว์ความสำเร็จของทีม
- คลิปเฉลิมฉลอง: เช่น วันเกิด แคมเปญสำเร็จ หรือครบ 1 ปีธุรกิจ
เทคนิคแนะนำ:
- อย่าใช้เสียงที่ “เกินจริง” เช่นเสียงคนเชียร์สนามบอลกับคลิปนั่งคุย จะรู้สึกหลอก
- ผสมเสียงเบาๆ เป็น Background ก็ช่วยสร้างอารมณ์ร่วมได้โดยไม่ต้องโดดเด่นเกินไป
9. Transition Hit (เสียงกระแทกเพื่อเปลี่ยนซีน)
เสียงนี้เป็น “จุดเปลี่ยนจังหวะ” ที่ทรงพลัง เหมือนเสียงตอกย้ำ ว่าตอนนี้คลิปกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงใหม่ เหมาะกับการตัดเข้าโลโก้ เปิดสไลด์ หรือเน้นคำพูดสำคัญ เสียง Transition Hit มีหลายโทน เช่น ตึงแบบ cinematic, หรือ hit แบบกราฟิกเคลื่อนไหว ใช้ได้ดีในงานที่ต้องการความจริงจัง หรู หรือพรีเมียม
ตัวอย่างการใช้งาน:
- วิดีโอองค์กร: ใส่ตอนขึ้นข้อความหลัก เช่น “เราคือ…”
- คลิปโฆษณา: เปิดโลโก้แบรนด์ หรือตัดเข้าสินค้าชัดๆ
- คลิป YouTube: ใช้แบ่งหัวข้ออย่างชัดเจน
- คลิปพรีเซนต์: เปิดหรือปิดแต่ละ Section ในงาน Event
เทคนิคแนะนำ:
- ปรับ Timing ให้เข้ากับ Motion Design หรือภาพที่เปลี่ยน จะได้ผลมาก
- ใช้ร่วมกับเสียง Background ทุ้มบางๆ เพื่อไม่ให้กระแทกเกินไปถ้าอยู่ในคลิปพูด
10. Ambient Sound (เสียงบรรยากาศ)
Ambient Sound หรือเสียงแบ็คกราวด์ธรรมชาติ เช่น เสียงลม ฝน แมลง นกร้อง ฯลฯ มักถูกใช้เพื่อเสริม “อารมณ์” ให้กับคลิปโดยไม่ดึงความสนใจ เป็นเสียงที่ไม่ควรเด่น แต่ขาดไม่ได้ เหมาะมากกับคลิปแนว Storytelling, Vlog, Documentary หรือแม้แต่คลิป ASMR ที่ต้องการให้ผู้ชม “รู้สึกว่าอยู่ในสถานที่จริง”
ตัวอย่างการใช้งาน:
- คลิปท่องเที่ยว: เสียงคลื่น เสียงตลาด เสียงฝนตก
- คลิปทำอาหาร: เสียงห้องครัวหรือเสียงร้านอาหาร
- คลิปเล่าเรื่อง: ใส่เสียงธรรมชาติเพื่อเซ็ตอารมณ์ในแต่ละซีน
- คลิปชีวิตประจำวัน: เสียงรถ เสียงเครื่องปรับอากาศ เสียงถนน
เทคนิคแนะนำ:
- ใช้เสียงจริงจากสถานที่ (Field Recording) จะให้ความรู้สึก Real กว่าเสียงทั่วไป
- ปรับระดับให้อยู่ “หลังเสียงพูด” และ “ไม่แย่งซีน” แต่คงอยู่พอให้รู้สึกมีมิติ
บทสรุป
ในโลกของคอนเทนต์ปี 2025 “เสียง” ไม่ใช่แค่ส่วนประกอบเล็กๆ อีกต่อไป แต่กลายเป็นหัวใจของการสื่อสาร ที่ส่งผลต่ออารมณ์ จังหวะ และความรู้สึกของผู้ชมโดยตรง ไม่ว่าคุณจะเป็นครีเอเตอร์มือใหม่ นักตัดต่อวิดีโอ หรือแบรนด์ที่ต้องการสื่อสารอย่างมืออาชีพ การเลือกใช้ Sound Effect ให้เหมาะสม คือกุญแจสำคัญที่ทำให้คลิปของคุณ “มีชีวิต” และน่าดึงดูดยิ่งขึ้น เสียงทั้ง 10 ประเภทที่เราคัดมา ล้วนเป็นเครื่องมือที่ครีเอเตอร์นิยมใช้ที่สุดในปี 2025 และคุณเองก็สามารถนำไปปรับใช้ในสไตล์ของตัวเองได้เช่นกัน อย่าลืมว่า รายละเอียดเล็กๆ อย่างเสียงนั้น แยกมืออาชีพออกจากมือสมัครเล่นได้อย่างชัดเจน
หากคุณต้องการให้แบรนด์ของคุณใช้เสียงอย่างถูกจังหวะ พร้อมเทคนิคการตัดต่อระดับมืออาชีพ ทีม Sixtygram ยินดีให้คำปรึกษาทั้งด้านการผลิตวิดีโอ การวางกลยุทธ์คอนเทนต์ และการทำให้คอนเทนต์ของคุณ “พูดได้” อย่างมีพลัง