Engagement แปลตรงตัวหมายถึง ความผูกพัน ซึ่งเป็นสภาวะทางจิตใจ อารมณ์ และความรู้สึกที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ถือเป็นแรงจูงใจภายในที่สำคัญของมนุษย์ นักจิตวิทยาและนักพฤติกรรมศาสตร์ให้ความสนใจศึกษาเรื่องนี้มาอย่างยาวนาน เพราะ Engagement ส่งผลต่อพฤติกรรมและการตัดสินใจของบุคคลอย่างมีนัยสำคัญ เราจึงเห็นคำว่า Engagement ปรากฏอยู่ในศาสตร์ต่างๆ มากมาย เช่น การตลาด, พฤติกรรมผู้บริโภค, และการบริหารทรัพยากรมนุษย์
Engagement สำคัญต่อการตลาดไหม?

ในยุคดิจิทัลที่ทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยโซเชียลมีเดียและคอนเทนต์ การมี Engagement สูงไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวเลข แต่เป็นตัวชี้วัดว่าธุรกิจของคุณสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและสร้างปฏิสัมพันธ์ที่มีคุณค่ากับพวกเขาได้หรือไม่ ยิ่ง Engagement สูง ยิ่งหมายความว่าแบรนด์ของคุณได้รับความสนใจมากขึ้น นำไปสู่โอกาสในการขาย การสร้างความภักดีต่อแบรนด์ และการบอกต่ออย่างเป็นธรรมชาติ
ในปัจจุบัน อัลกอริทึมของแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Facebook, Instagram, TikTok และ Twitter/X ให้ความสำคัญกับ Engagement เป็นหลัก หากโพสต์ของคุณได้รับการกดไลก์ คอมเมนต์ หรือแชร์มาก โพสต์นั้นก็จะถูกแสดงให้คนอื่นเห็นมากขึ้น ดังนั้น แบรนด์ที่ต้องการประสบความสำเร็จบนโลกออนไลน์จึงไม่สามารถมองข้าม ยอดเอนเกจ ได้
ยอดเอนเกจ คืออะไร? วัดผลจากอะไรได้บ้าง

ยอดเอนเกจ หมายถึงจำนวนรวมของการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ต่อคอนเทนต์ที่แบรนด์เผยแพร่ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ โดยแบ่งเป็น การมีส่วนร่วมทางบวก (Positive Feedback) เช่น ยอดถูกใจ (Like), ยอดแชร์ (Share), ปุ่มแสดงอารมณ์ (Reactions), และ ยอดคอมเมนต์ (Comment) รวมถึง การมีส่วนร่วมทางลบ (Negative Feedback) เช่น การกดซ่อนโพสต์, การรายงานว่าเป็นสแปม, หรือการเลิกติดตามเพจ
Engagement ทำงานอย่างไร?
Engagement เป็นตัวชี้วัดที่สะท้อนถึงคุณภาพของคอนเทนต์และระดับการเชื่อมโยงระหว่างแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมาย ยิ่ง ยอดเอนเกจ สูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งส่งผลดีต่อแบรนด์มากขึ้น เพราะแสดงให้เห็นว่าผู้ชมให้ความสนใจและมีปฏิสัมพันธ์กับคอนเทนต์ ซึ่งจะช่วยเพิ่ม Reach (การเข้าถึง) และทำให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียแนะนำคอนเทนต์ของคุณมากขึ้น
ประเภทของ Engagement
1. Engagement เชิงบวก (Positive Engagement)
- Likes (ไลก์) – บ่งบอกถึงความสนใจและการยอมรับในคอนเทนต์
- Comments (คอมเมนต์) – ช่วยเพิ่มการโต้ตอบและความสัมพันธ์กับผู้ติดตาม
- Shares (แชร์) – กระจายคอนเทนต์ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่
- Saves (เซฟโพสต์) – แสดงถึงความสนใจระยะยาวในเนื้อหา
2. Engagement เชิงลบ (Negative Engagement)
- การกดซ่อนโพสต์ (Hide Post) – บ่งบอกว่าเนื้อหาอาจไม่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้
- การแจ้งว่าเป็นสแปม (Report as Spam) – เป็นสัญญาณว่าโพสต์อาจไม่เหมาะสมหรือรบกวน
- การเลิกติดตามเพจ (Unfollow Page) – บ่งบอกถึงความไม่พอใจหรือไม่สนใจแบรนด์อีกต่อไป
Engagement ประกอบด้วยอะไรบ้าง?
Engagement บนโซเชียลมีเดียแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบ เช่น:
- การมีส่วนร่วมบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น การกดไลก์ แชร์ คอมเมนต์ รีวิวสินค้า การกดติดตาม หรือสมัครสมาชิก
- การมีส่วนร่วมบนแพลตฟอร์มออฟไลน์ เช่น การเข้าร่วมอีเวนต์ของแบรนด์ การเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการขาย หรือการพูดคุยกับแบรนด์ผ่านคอลเซ็นเตอร์
- การมีส่วนร่วมผ่านเนื้อหา เช่น การอ่านบทความบนเว็บไซต์ การดูวิดีโอ การฟังพอดแคสต์ หรือการดาวน์โหลดเอกสารที่ให้ความรู้
Engagement ที่ดีควรเป็นเท่าไหร่? ตัวอย่างจากปี 2025

จากสถิติในปี 2025 ค่าเฉลี่ย Engagement Rate ของแต่ละแพลตฟอร์มมีดังนี้:
- Facebook: ~3-6% ต่อโพสต์
- Instagram: ~4-8% (Reels อาจสูงถึง 10-15%)
- Twitter/X: ~1-3%
- TikTok: ~8-12%
- LinkedIn: ~2-5%
ตัวเลขเหล่านี้สามารถใช้เป็น Benchmark สำหรับธุรกิจในการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของคอนเทนต์และวางกลยุทธ์ให้เหมาะสม
บทสรุป
Engagement เป็นมากกว่าตัวเลขบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เพราะมันสะท้อนถึงระดับความสนใจและปฏิสัมพันธ์ของผู้ใช้กับแบรนด์ ยิ่ง ยอดเอนเกจ สูงเท่าไหร่ โอกาสที่แบรนด์จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ และสร้างฐานลูกค้าที่ภักดีก็ยิ่งมีมากขึ้น นอกจากนี้ Engagement ยังส่งผลต่อ Brand Awareness, Leads, และ Conversion Rate ซึ่งช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ดังนั้น การมีกลยุทธ์เพิ่ม Engagement ที่มีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกแบรนด์ที่ต้องการความสำเร็จในยุคดิจิทัล