รู้จัก Digital Footprint ร่องรอยที่ไม่วันจางหายบนโลกออนไลน์

ทุกครั้งที่คุณเปิดมือถือ คลิกค้นหา หรือแค่เลื่อนดูอะไรเพลิน ๆ บนโซเชียล นั่นหมายความว่าคุณไม่ได้แค่ใช้อินเทอร์เน็ต แต่กำลังทิ้งร่องรอยบางอย่างไว้เสมอ และในหลายครั้ง ร่องรอยเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะมันสามารถบอกได้ทั้งพฤติกรรม ความสนใจ หรือแม้แต่ข้อมูลส่วนตัวที่คุณไม่เคยตั้งใจเปิดเผยให้ใครรู้

ร่องรอยเหล่านี้มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า Digital Footprint หรือเงาของตัวตนบนโลกออนไลน์ นั่นทำให้ในวันนี้ Sixtygram Agency อยากชวนคุณมารู้จักมันให้ลึกขึ้น ว่า Digital Footprint คืออะไร มีกี่ประเภท ทำไมมันถึงสำคัญ และเราจะอยู่กับมันอย่างฉลาด ปลอดภัย รวมถึงใช้มันให้เกิดประโยชน์กับชีวิตของเราได้อย่างไร

Digital Footprint คือ?

Digital Footprint(ดิจิทัลฟุตพริ้นท์) หรือที่ถูกเรียกกันว่า เงาดิจิทัล(Digital Shadow) คือร่องรอยของข้อมูลที่ผู้ใช้ทิ้งไว้บนโลกอินเตอร์เน็ตทุกครั้งที่ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการเข้าเว็บไซต์ คลิกลิงก์ ดูโฆษณา โพสต์บนโซเชียลมีเดีย ค้นหาข้อมูล หรือซื้อของออนไลน์ ทุกการกระทำเหล่านี้ล้วนสร้างข้อมูลที่สามารถถูกติดตามและรวบรวมได้

โดยร่องรอย(Footprint)บางอย่างเกิดจากสิ่งที่คุณตั้งใจแชร์เอง เช่น การอัปโหลดรูปภาพ โพสต์ข้อความ หรือการลงทะเบียนใช้งานเว็บไซต์ ขณะที่บางร่องรอยก็เกิดจากสิ่งที่ ระบบเก็บข้อมูลโดยอัตโนมัติ เช่น ตำแหน่งที่คุณอยู่ หมายเลขไอพี(IP) ประเภทอุปกรณ์(Device)ที่ใช้ ไปจนถึงพฤติกรรมการใช้งานที่เว็บไซต์ติดตามผ่านคุกกี้ ซึ่งเมื่อมีการรวบรวมร่องรอยทั้งหมดเหล่านี้ไว้ด้วยกัน(Data Gathering) จึงถูกเรียกว่า Digital Footprint ที่ไม่ใช่แค่คนทั่วไปที่มี หากแต่ในระดับองค์กรก็สามารถมี Digital Footprint ได้เช่นกัน และอาจเป็นกรณีร่องรอยที่ซับซ้อนมากกว่าบุคคลทั่วไปด้วยซ้ำ เช่น ข้อมูลจากเว็บไซต์ของบริษัท ระบบเซิร์ฟเวอร์ อีเมลของพนักงาน ไปจนถึงอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทั้งหมด

เมื่อโลกออนไลน์เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในยุคที่องค์กรหันมาใช้คลาวด์และทำงานแบบรีโมตมากขึ้น Digital Footprint ขององค์กรก็ยิ่งใหญ่และกระจายตัวมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งแม้จะมีประโยชน์ในแง่ของการขยายตัวตนทางธุรกิจ แต่ก็เปิดช่องให้เกิดความเสี่ยงใหม่ ๆ เช่น การถูกแฮก หรือถูกเจาะระบบจากจุดเล็ก ๆ ที่มองไม่เห็นนั่นเอง

ทำไม Digital Footprint ถึงสำคัญ

เหตุผลที่ทำให้ Digital Footprint มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะทุกสิ่งที่คุณเคยทำไว้บนโลกออนไลน์ อาจย้อนกลับมาส่งผลกระทบกับคุณได้ในวันที่คุณไม่ทันตั้งตัว หลายคนอาจคิดว่าโพสต์ด่าหรือโพสต์แรง ๆ บนเฟซบุ๊กเมื่อ 5 ปีก่อนมันจบไปแล้ว แต่ในโลกดิจิทัล มันอาจยังคงอยู่ ทั้งอาจมีคนแคปไว้ แชร์ต่อ หรือแม้กระทั่งยังปรากฏใน Cache ของ Google ที่ยังไม่ถูกลบ การใช้คำหยาบ การโพสต์ดูหมิ่น การใส่ร้ายคนอื่น แม้จะลบต้นฉบับไปแล้ว ก็อาจถูกขุดกลับมาในวันที่คุณสมัครงาน ขอทุน หรือแม้กระทั่งเข้าสู่สังคมใหม่

กรณีที่รุนแรงกว่านั้นคือเมื่อร่องรอยดิจิทัลเกี่ยวข้องกับความผิดทางกฎหมายหรือศีลธรรมเช่นการเคยมีชื่ออยู่ในบัญชี Blacklist Seller จากกรณีโกงเงินการแชร์หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับคลิปหลุดหรือคอนเทนต์ 18+ บางประเภทที่แม้จะเคยลบออกไปแล้วแต่ยังคงปรากฏอยู่ในลิงก์เก่าหรือระบบจัดเก็บข้อมูลของ Search Engine ที่ยังไม่อัปเดตรวมถึงกรณีที่เคยมีบัญชี OnlyFans หรือเว็บไซต์ลักษณะเดียวกันซึ่งถึงแม้จะเป็นสิทธิส่วนบุคคลแต่ชื่อและลิงก์บางส่วนอาจยังคงถูกจัดเก็บในระบบค้นหาและถูกเชื่อมโยงกลับมาที่ตัวคุณได้ในภายหลัง

อย่าลืมว่า Digital Footprint ไม่ได้หยุดเพียงแค่สิ่งที่คุณโพสต์ แต่รวมถึงสิ่งที่คนอื่นโพสต์ถึงคุณ รูปภาพที่คุณถูกแท็ก ความคิดเห็นที่คุณเคยเขียนไว้ หรือแม้แต่การเข้าเว็บไซต์บางแห่งที่เก็บข้อมูลไว้โดยไม่แจ้งคุณ การรู้เท่าทันว่าร่องรอยของคุณอยู่ที่ไหน และมีอะไรที่ยังออนไลน์อยู่บ้าง จึงไม่ใช่แค่เรื่องของความเป็นส่วนตัว แต่เป็นเรื่องของ ความปลอดภัยชื่อเสียงและโอกาสในชีวิต ที่อาจหายไปเพียงเพราะ Digital Footprint ในอดีต

ประเภทของ Digital Footprint

โดยทั่วไปแล้ว Digital Footprint แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ 1. Active Footprint และ 2. Passive Footprint ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วก็จะกลายเป็นภาพรวมของตัวตนบนโลกออนไลน์ของคุณ

1. Active Digital Footprint

Digital Footprint ประเภท Active คือข้อมูลที่คุณตั้งใจแชร์ออกไปโดยตรง เช่น การโพสต์บนโซเชียลมีเดีย การกรอกแบบฟอร์มสมัครสมาชิก การสั่งซื้อของออนไลน์ หรือแม้แต่การส่งอีเมล ทุกการกระทำที่คุณ “คลิกเอง พิมพ์เอง แชร์เอง” ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของร่องรอยแบบ Active ทั้งสิ้น
สำหรับในระดับองค์กร Active Digital Footprint มักจะหมายรวมถึง

  • เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย โฆษณา หรือคอนเทนต์ที่แบรนด์เป็นผู้เผยแพร่
  • แอปพลิเคชันหรือระบบที่บริษัทเป็นผู้พัฒนาและควบคุม
  • อีเมลบริษัท บัญชีคลาวด์ และอุปกรณ์ที่พนักงานใช้ทำงาน ซึ่งอยู่ภายใต้นโยบายขององค์กร
  • ข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญา ฐานข้อมูลลูกค้า และข้อมูลทางการเงินที่องค์กรเป็นเจ้าของโดยตรง

2. Passive Digital Footprint

Digital Footprint ประเภท Passive คือข้อมูลที่ถูกเก็บโดยที่คุณไม่รู้ตัว หรือไม่ได้ตั้งใจให้ถูกเก็บ เช่น เว็บไซต์ที่แอบติดตามการเข้าชมด้วยคุกกี้ ตำแหน่งที่คุณอยู่ อุปกรณ์ที่ใช้ หรือระยะเวลาที่คุณจ้องดูโฆษณา ซึ่งทั้งหมดนี้อาจถูกวิเคราะห์เพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านการตลาด
ในมุมขององค์กร Passive Digital Footprint มีความซับซ้อนมากขึ้น เช่น

  • กิจกรรมของผู้ให้บริการภายนอกที่เชื่อมโยงกับระบบขององค์กร
  • ซอฟต์แวร์หรืออุปกรณ์ที่ใช้งานโดยไม่ได้รับอนุมัติจากฝ่าย IT (ที่เรียกว่า Shadow IT)
  • บัญชีเก่าหรือระบบที่เลิกใช้แล้วแต่ยังออนไลน์อยู่ (Orphaned Assets)
  • คอนเทนต์ที่ผู้อื่นสร้างเกี่ยวกับองค์กร เช่น รีวิว ข่าว หรือโพสต์วิจารณ์
  • เนื้อหาที่เป็นภัย เช่น เว็บไซต์ฟิชชิงที่ปลอมเป็นแบรนด์ หรือข้อมูลของบริษัทที่ถูกขโมยและเผยแพร่ในดาร์กเว็บ

Digital Footprint ทั้งสองประเภทนี้เป็นเหมือนเงาที่เดินตามคุณและธุรกิจของคุณทุกที่ การเข้าใจและแยกแยะให้ได้ว่าอะไรคือสิ่งที่เราควบคุมได้ และอะไรที่เราควรระวังเป็นพิเศษ คือก้าวแรกของการปกป้องตัวตนบนโลกออนไลน์อย่างแท้จริง

วิธีเช็ก Digital Footprint ด้วยตนเอง(พร้อมวิธีลบ)

1. ค้นหาชื่อตัวเองบน Search Engine

เริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยการค้นหาชื่อตัวเองบน Google, Bing หรือ DuckDuckGo โดยพิมพ์ชื่อเต็มลงไปในเครื่องหมายคำพูด เช่น “มนัสนันท์ สินธุเดชะ” เพื่อให้ได้ผลลัพธ์แบบตรงตัว หากชื่อคุณค่อนข้างทั่วไป ให้เพิ่มคำระบุ เช่น ชื่อโรงเรียน เมือง หรือสถานที่ทำงาน เพื่อจำกัดขอบเขตให้แคบลง อย่าลืมค้นชื่อเล่นหรือชื่อแฝงที่เคยใช้บนเว็บบอร์ด เกม หรือโซเชียลมีเดียต่าง ๆ

หากพบลิงก์ รูป หรือข้อมูลที่ไม่ต้องการให้ปรากฏอีก สามารถติดต่อเจ้าของเว็บไซต์เพื่อขอลบได้โดยตรง หรือใช้เครื่องมือ Results About You เพื่อลบลิงก์และแคชที่หลงเหลือในระบบของ Google

2. ตรวจสอบบัญชีโซเชียลมีเดียของตัวเอง

ย้อนกลับไปดูโพสต์ รูปภาพ และคอมเมนต์ที่เคยเผยแพร่ไว้ในแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Facebook, Instagram, X (Twitter) และ TikTok เน้นตรวจสอบว่ามีโพสต์ไหนที่ดูไม่เหมาะสม ละเมิดสิทธิผู้อื่น หรืออาจย้อนกลับมาทำลายชื่อเสียงในอนาคต 

หากมี ให้ลบหรือซ่อนไว้โดยใช้ฟีเจอร์จัดการโพสต์ย้อนหลัง (เช่น Activity Log บน Facebook) รวมถึงควรเข้าไปเช็กการตั้งค่าความเป็นส่วนตัว ว่าโพสต์ต่าง ๆ เปิดให้ใครเห็นบ้าง บางครั้งสิ่งที่คุณคิดว่า “แค่เพื่อนเห็น” อาจตั้งค่าไว้เป็น “สาธารณะ” โดยไม่รู้ตัว

3. ตรวจสอบการรั่วไหลของข้อมูลบน Dark Web

ข้อมูลบางอย่าง เช่น อีเมล รหัสผ่าน หรือหมายเลขบัตรเครดิต อาจหลุดไปอยู่บน Dark Web โดยที่คุณไม่รู้ตัว ให้ใช้เว็บไซต์อย่าง HaveIBeenPwned.com เพื่อตรวจสอบว่าอีเมลของคุณเคยถูกแฮกหรือไม่ 

หากพบข้อมูลรั่วไหล ควรรีบเปลี่ยนรหัสผ่านทันที โดยตั้งรหัสใหม่ที่ไม่ซ้ำกับบัญชีอื่น และเปิดระบบยืนยันตัวตนสองขั้นตอน (2FA) สำหรับบัญชีสำคัญทั้งหมด หากใช้บริการออนไลน์หลายบัญชี ให้พิจารณาใช้แอป Password Manager เพื่อจัดเก็บรหัสผ่านให้ปลอดภัยและไม่ซ้ำกัน

4. ค้นหาข้อมูลตัวเองในเว็บไซต์ขายข้อมูล (Data Broker)

เว็บไซต์อย่าง Spokeo, WhitePages, Radaris และ BeenVerified มักเก็บข้อมูลสาธารณะจากหลายแหล่ง เช่น เบอร์โทร อีเมล ที่อยู่ หรือประวัติการทำงาน แล้วเผยแพร่หรือขายต่อให้บุคคลภายนอก คุณสามารถค้นหาชื่อตัวเองในเว็บเหล่านี้ได้

หากพบว่ามีข้อมูลของคุณปรากฏอยู่ ให้เข้าไปใช้แบบฟอร์ม “Request to Remove” หรือ “Opt-Out” ซึ่งแต่ละเว็บจะมีขั้นตอนให้ดำเนินการ แม้จะใช้เวลาสักหน่อย แต่การลบชื่อออกจากเว็บเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงเรื่องการโดนแอบอ้าง หรือถูกละเมิดข้อมูลส่วนตัวได้มาก หากไม่อยากจัดการเองทุกเว็บ อาจเลือกใช้บริการลบข้อมูลแบบอัตโนมัติ เช่น DeleteMe หรือ OneRep

5. ตรวจสอบข้อมูลที่ฝากไว้ในเว็บไซต์ชอปปิ้งออนไลน์

บัญชีผู้ใช้ตามแพลตฟอร์ม e-commerce อย่าง Lazada, Shopee, Amazon หรือร้านค้าออนไลน์อื่น ๆ มักเก็บข้อมูลของคุณไว้ ทั้งชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร หรือบัตรเครดิตที่ผูกไว้ ลองเข้าไปดูว่ามีข้อมูลอะไรที่ไม่จำเป็นหรือเก่าแล้ว และทำการลบออก หากไม่ได้ใช้งานเว็บไซต์นั้นแล้ว ควรปิดบัญชีไปเลย หรืออย่างน้อยก็ติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าเพื่อขอลบข้อมูลทิ้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลหลุดไปจากระบบในอนาคตโดยที่คุณไม่รู้ตัว

Categories: ทั่วไป
X