Cloaking คืออะไร? เข้าใจวิธีทำและทำไมคุณถึงไม่ควรทำ?

Cloaking คือหนึ่งในเทคนิค SEO ที่ถูกพูดถึงอย่างมากในกลุ่มนักทำ SEO โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงการทำ SEO สายดำ(Black Hat SEO) นั่นทำให้ในวันนี้ Sixtygram จึงได้จัดทำบทความที่จะพาคุณไปรู้จักกับ Cloaking อย่างละเอียด พร้อมทั้งอธิบายตัวอย่าง หลักการทำงาน วิธีการทำ อย่างละเอียดยิบไปจนถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ถ้าคุณเผลอใช้วิธีนี้บนเว็บไซต์ของคุณ

Cloaking คืออะไร?

Cloaking คือเทคนิคการหลอก Search Engine โดยการแสดงเนื้อหาบนเว็บไซต์ที่แตกต่างกันให้กับผู้ใช้งานจริงและบอทของ Search Engine ซึ่งโดยปกติแล้ว บอทของ Google หรือระบบอัลกอริทึ่มเครื่องมือค้นหาจะเข้ามาอ่านหน้าเว็บไซต์เพื่อเข้าใจว่าเนื้อหาในหน้านั้นเกี่ยวกับอะไร แต่หากมีการทำ Cloaking เกิดขึ้น เว็บไซต์จะให้ข้อมูลอย่างหนึ่งกับบอท (มักเป็นเนื้อหาที่เต็มไปด้วยคีย์เวิร์ดเพื่อทำอันดับ) แต่แสดงอีกเนื้อหาหนึ่งให้กับผู้ใช้งาน (ซึ่งอาจไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับที่ค้นหาเลย)

กล่าวได้ว่า Cloaking คือ หลอกให้ Google คิดว่าเว็บนี้มีประโยชน์ และเหมาะสมกับอันดับต้นๆ ๆ บนหน้าผลลัพธ์การค้นหา ทั้งที่ในความจริงอาจเป็นเว็บพนัน เว็บขายสินค้าผิดกฎหมาย หรือเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวข้องเลยนั่นเอง

วิธีทำ Cloaking มีแบบไหนบ้าง?

โดยทั่วไปแล้ว Cloaking เป็นเทคนิค SEO สายดำที่ Google ไม่อนุญาต แต่ก็ยังมีหลายเว็บไซต์พยายามใช้วิธีเหล่านี้เพื่อหลอกระบบให้ติดอันดับเร็วขึ้น ต่อไปนี้คือวิธีที่ถูกใช้กันมากที่สุด พร้อมตัวอย่างและวิธีทำเพื่อให้คุณเห็นภาพชัดเจนขึ้น

1. IP-based Cloaking

วิธีตรวจจับจากหมายเลข IP ของผู้เข้าชม โดยระบบเว็บไซต์จะถูกตั้งค่าให้ตรวจสอบว่าใครคือผู้เข้าชมเว็บ หากพบว่าเป็นบอทของ Google (เช่น Googlebot ที่มี IP address อยู่ในลิสต์ของ Google) ระบบจะแสดงหน้าเว็บที่ปรับแต่งมาสำหรับ SEO โดยเฉพาะ เช่น มีคีย์เวิร์ดเยอะ มีเนื้อหายาวชัดเจน แต่ถ้าเป็นผู้ใช้ทั่วไป ก็จะแสดงหน้าเว็บอีกแบบ เช่น หน้าขายของผิดกฎหมาย หรือเว็บไม่มีคุณภาพ

สำหรับวิธีทำสามารถทำได้โดยการเขียนสคริปต์ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ เช่น PHP, Node.js หรือ Python เพื่อตรวจสอบ IP Address ที่ส่งมาจาก HTTP Header หากตรงกับช่วง IP ของ Googlebot ก็ให้แสดง HTML ที่ปรับแต่งสำหรับ SEO มิฉะนั้นให้แสดงหน้าเว็บทั่วไป

2. User-Agent Cloaking

User-Agent Cloaking เป็นการแยกการแสดงผลตามประเภทของเบราว์เซอร์หรือระบบปฏิบัติการ โดยการตั้งค่าให้เว็บไซต์ตรวจสอบค่า User-Agent ของผู้เข้าชม (เช่น Chrome, Safari, หรือ Googlebot) ซึ่งระบุว่าเป็นมนุษย์หรือบอท หากพบว่าเป็น Googlebot ก็จะแสดงหน้าที่เน้น SEO-friendly เช่น บทความยาวพร้อมคีย์เวิร์ด แต่ถ้าเป็นผู้ใช้งานทั่วไปจะเห็นคอนเทนต์คนละเรื่อง เช่น เว็บโฆษณาหลอกลวงหรือคลิกเบต

วิธีทำคือการใช้โค้ดฝั่งเซิร์ฟเวอร์ตรวจสอบค่า User-Agent จาก HTTP Header แล้วแยกการแสดงผล เช่น if พบคำว่า “Googlebot” ให้ส่งไฟล์ HTML อีกเวอร์ชันหนึ่งที่ปรับแต่งไว้เฉพาะสำหรับ Google

3. Hidden Text หรือ Hidden Links

Hidden Text หรือ Hidden Links เป็นการใช้หลักการแอบใส่ข้อความหรือคีย์เวิร์ดที่ผู้ใช้งานทั่วไปมองไม่เห็น แต่ Search Engine สามารถอ่านได้ เทคนิคนี้มักใช้เพื่อยัดคีย์เวิร์ด SEO โดยไม่ทำให้หน้าเว็บดูรก เช่น ใส่ข้อความสีขาวบนพื้นหลังสีขาว หรือนำข้อความไปซ่อนไว้ใน div ที่ถูกตั้งค่า display: none หรือ opacity: 0

วิธีทำคือการเขียนเนื้อหาใน HTML ตามปกติ แล้วใช้ CSS เพื่อซ่อนข้อความนั้น เช่น color: #fff; (สีเดียวกับพื้นหลัง), visibility: hidden;, หรือ display: none; เพื่อไม่ให้ผู้ใช้มองเห็น แต่โค้ดยังคงถูกโหลดและอ่านโดย Googlebot ได้

4. JavaScript Cloaking

วิธีสุดท้าย JavaScript Cloaking เป็นวิธีที่เนื้อหาบางส่วนของเว็บไซต์จะถูกโหลดผ่าน JavaScript เฉพาะเมื่อผู้ใช้งานเปิดเว็บไซต์จริง ๆ ทำให้ Googlebot ซึ่งบางครั้งอาจไม่ประมวลผล JavaScript เหล่านั้น เห็นหน้าเว็บแบบหนึ่ง (ซึ่งอาจเป็นเนื้อหาคุณภาพสูงสำหรับ SEO) แต่ผู้ใช้จะเห็นหน้าเว็บอีกแบบ เช่น หน้า Landing Page หลอกให้กรอกข้อมูล หรือขายสินค้าที่ไม่เกี่ยวข้องกับคำค้น

วิธีทำคือการเขียน JavaScript ให้โหลดข้อมูลหรือองค์ประกอบหน้าเว็บแบบ dynamic (เช่น เรียก API หรือดึง HTML มาจากไฟล์อื่น) เมื่อเบราว์เซอร์ของผู้ใช้งานเรียกใช้งาน DOM เช่นใน event window.onload หรือ DOMContentLoaded ขณะที่ Googlebot จะไม่ได้รับหรือไม่แสดงผลข้อมูลนั้นเลย

ตัวอย่างการทำ Cloaking ที่พบได้บ่อย

  • หน้ารีวิวมือถือ แต่คลิกแล้วไปเว็บคริปโต
  • ร้านอาหารออนไลน์ แต่ redirect ไปเว็บปล่อยกู้
  • หน้าโหลดแอปฟรี แต่ล่อให้สมัคร SMS เสียเงิน
  • เว็บข่าววันนี้ แต่แสดงโฆษณาสินค้า MLM
  • บล็อกสุขภาพ แต่ซ่อนไฟล์มัลแวร์ในลิงก์

แล้วทำไมบางคนถึงยังเลือกใช้ Cloaking?

สิ่งที่ทำให้นักพัฒนาเว็บไซต์ หรือ นัก SEO สายดำยังตงเลือกใช้ Cloaking เพราะมองว่าเป็นทางลัดที่ช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับได้เร็ว โดยไม่ต้องเสียเวลาปรับโครงสร้างหรือพัฒนาเนื้อหาอย่างถูกต้อง เพียงหวังจะใช้คีย์เวิร์ดแรง ๆ ดึง Traffic จำนวนมากในเวลาอันสั้น ขณะที่บางเว็บที่มีเนื้อหาหนักภาพหรือใช้ JavaScript เป็นหลัก ก็เลือก Cloaking เพื่อชดเชยข้อจำกัดด้าน SEO 

อย่างไรก็ตาม แม้ จะเห็นผลไว Cloaking แต่ความเสี่ยงก็สูงมาก เพราะ Google มีระบบตรวจจับพฤติกรรมเหล่านี้อย่างชัดเจน และบทลงโทษที่รุนแรงที่สุดคือการแบนเว็บไซต์ถาวรจากผลการค้นหา

ผลกระทบจากการทำ Cloaking

1. อันดับร่วงทันที

การทำ Cloaking อาจให้ผลลัพธ์ดีในช่วงแรก เช่น เว็บไซต์ติดอันดับหน้าแรกของ Google ภายในเวลาไม่กี่วัน และมีผู้ใช้งานหลั่งไหลเข้ามาจำนวนมากจากคีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันสูง แต่เมื่อระบบของ Google ตรวจพบว่าเว็บไซต์มีพฤติกรรมหลอกลวง เช่น แสดงหน้า “รีวิวมือถือ” ให้กับ Googlebot แต่พอผู้ใช้คลิกเข้ามากลับเจอเว็บซื้อขายคริปโต ระบบจะลงโทษทันทีโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า อันดับอาจร่วงจากหน้าแรกไปยังหน้าที่สิบหรือหายจากผลลัพธ์การค้นหาโดยสิ้นเชิง บางเว็บไซต์ที่เคยได้ยอดขายวันละหลายร้อยออเดอร์จากการค้นหา อาจสูญเสียรายได้เกือบทั้งหมดในเวลาไม่กี่วัน

2. ถูกลบออกจากดัชนีของ Google (De-index)

กรณีรุนแรงกว่าอันดับร่วง เว็บไซต์ที่ทำ Cloaking จะถูกระบุว่าเจตนาใช้ Cloaking เพื่อแอบแฝงเนื้อหาผิดกฎหมายหรือเนื้อหาล่อหลอก (เช่น หน้าเว็บปลอมที่ดึงข้อมูลผู้ใช้) Google อาจดำเนินการลบเว็บไซต์ออกจากดัชนีการค้นหา (De-index) โดยทันที ส่งผลให้ไม่ว่าจะค้นหาชื่อแบรนด์หรือคอนเทนต์ในเว็บไซต์ก็จะไม่ปรากฏบน Google อีกต่อไป ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างหนักต่อทั้งยอดขายและความน่าเชื่อถือของแบรนด์

3. ความเสียหายระยะยาวต่อแบรนด์

สุดท้าย การทำ Cloaking นั้นย่อมส่งผลกระทบในระยะยาวต่อภาพลักษณ์องค์กร เช่น ธุรกิจที่เคยเป็นแบรนด์น่าเชื่อถือ ต้องมาเสียเวลาฟื้นฟูชื่อเสียง ทำเว็บไซต์ใหม่ หรือเปลี่ยนชื่อโดเมนเพื่อหลีกเลี่ยงประวัติเสียจาก Google ซึ่งนอกจากจะเปลืองทรัพยากรแล้ว ยังอาจทำให้สูญเสียโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญในอนาคตไปอย่างถาวรด้วย

วิธีตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณมี Cloaking หรือไม่

หากคุณสงสัยว่าเว็บไซต์ของตัวเองอาจมีความเสี่ยงจาก Cloaking ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม วิธีเบื้องต้นที่สามารถทำได้คือการใช้เครื่องมือฟรี เช่น SiteChecker โดยเพียงแค่นำ URL ของเว็บไซต์ไปใส่ ระบบจะช่วยตรวจสอบว่าบอทของ Google (Googlebot) เห็นเนื้อหาในหน้านั้นเหมือนกับที่ผู้ใช้งานทั่วไปเห็นหรือไม่ 

นอกจากนี้ยังสามารถใช้ Google Search Console เพื่อดูว่า Googlebot เข้าถึงหน้าเว็บของคุณอย่างไร เช่น ตรวจสอบหน้าแบบ “ดูข้อมูลที่ Google เห็น” หรือใช้ฟีเจอร์ Inspect URL เพื่อเปรียบเทียบ หากพบว่าเนื้อหาที่บอทเห็นแตกต่างจากที่ผู้ใช้งานปกติเห็นอย่างมีนัยสำคัญ แสดงว่าเว็บไซต์อาจมี Cloaking ซ่อนอยู่โดยไม่รู้ตัว และควรรีบแก้ไขทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงบทลงโทษจาก Google

สรุปเราแนะนำว่าอย่าเสี่ยงกับ Cloaking

แม้ Cloaking จะดูเป็นทางลัดที่ช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Google ได้อย่างรวดเร็ว แต่ความเสี่ยงที่ตามมานั้นสูงเกินกว่าจะคุ้ม ไม่ว่าจะเป็นการถูกลดอันดับ ถูกลบออกจากดัชนี ไปจนถึงความเสียหายระยะยาวต่อแบรนด์และความน่าเชื่อถือของธุรกิจ ที่สำคัญคือ Google มีระบบตรวจจับพฤติกรรมนี้อย่างแม่นยำและอัปเดตอยู่เสมอ 

ดังนั้น การทำ SEO ที่ยั่งยืนควรยึดแนวทางที่โปร่งใสและเน้นคุณภาพของเนื้อหา หากคุณไม่แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณมีความเสี่ยงจาก Cloaking หรือเทคนิคอื่นที่อาจผิดกฎ Sixtygram ยินดีช่วยวิเคราะห์และวางกลยุทธ์ SEO อย่างปลอดภัย เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณเติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว สำหรับวันนี้ ขอบคุณครับ

Categories: ทั่วไป
Tags:
X