โครงสร้างเว็บไซต์ คืออะไร เข้าใจง่ายสำหรับมือใหม่ (ตัวอย่างโหลดฟรี)

โครงสร้างเว็บไซต์(Website Structure) ถือเป็นอีกคีย์สำคัญที่จะทำให้เว็บไซต์ใดเว็บไซต์ใดเว็บไซต์หนึ่งประสบความสำเร็จได้ บางครั้งการออกแบบโครงสร้างสามารถทำให้คุณบรรลุเป้าหมายที่คุณต้องการทำเว็บไซต์ขึ้นมาตั้งแต่ทีแรก ไม่ว่าจะเป็นการทำเว็บไซต์เพื่อ SEO การทำให้การคงผู้ใช้ยาวนานที่สุด ไปจนถึงการเข้าใจว่าเว็บไซต์ที่ดีควรประกอบไปด้วยอะไรบ้าง

นั่นทำให้ในวันนี้ Sixtygram Agency ที่มีทีมพัฒนาเว็บไซต์และเหล่าผู้เชี่ยวชาญ SEO มากมาย ตั้งใจกันทำบทความนี้มาเพื่อให้ความรู้สำหรับมือใหม่ และเทคนิคการออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ที่ดีมาแบ่งปันให้กับมือโปร เรียกได้ว่าอ่านที่เดียวครบจบทุกเรื่องในการวางแบบเว็บไซต์

โครงสร้างเว็บไซต์คือ

โครงสร้างเว็บไซต์(Website Structure) คือแผนภาพหรือแผนที่ซึ่งเราวางไว้ให้กับเว็บไซต์ โดยทุกส่วนต้องเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่เนื้อหาที่เพิ่มจะเข้าไป ประเด็นสำคัญไหนที่เราจะทำ และการวางว่าแต่ละเนื้อหาจะถูกเชื่อมโยง(ลิงก์)กันอย่างไร นั่นเอง

ความสำคัญของโครงสร้างเว็บไซต์

โครงสร้างเว็บไซต์ที่ดีจะช่วยช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดี(User Experience) พร้อมทั้งยังให้ผู้เข้าชมสามารถค้นหาและพบเจอข้อมูลที่ต้องการได้อย่างครบถ้วน สะดวก และรวดเร็ว ทำให้เกิดความพึงพอใจและอยากกลับมาใช้งานอีก แตกต่างกับ เว็บไซต์ที่มีโครงสร้างเว็บไซต์ที่ไม่ดีจะทำให้ผู้ใช้งานหลงทางจากคลังข้อมูลจำนวนมาก ทั้งนี้ จากงานบทความของ Content Shifu ยังพบว่า เว็บไซต์ที่ออกแบบให้ผู้ใช้มีประสบการณ์ที่ดีสามารถเพิ่มอัตราสั่งซื้อหรือสอบถามบริการ (Conversion Rate) ได้อย่างมีนัยยะสำคัญ

เมื่อผู้ใช้รู้สึกดีต่อเว็บไซต์ มักจะแนะนำต่อให้เพื่อนหรือพิจารณาซื้อสินค้าและบริการมากขึ้น ดังนั้น โครงสร้างเว็บไซต์ที่ดีจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จของเว็บไซต์ในระยะยาวนอกจากนี้ โครงสร้างเว็บไซต์ที่เป็นระบบยังช่วยให้ผู้พัฒนาเว็บไซต์รู้และสามารถจัดการข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การมองเห็นเส้นทางการเข้าชมของผู้ใช้ว่าพบข้อมูลที่ต้องการได้ง่ายหรือไม่ การจัดหมวดหมู่หัวข้อหลักและหัวข้อย่อยอย่างถูกต้อง รวมถึงการขยายเว็บไซต์ในอนาคตได้อย่างเป็นระบบและง่ายต่อการเชื่อมโยงเนื้อหาใหม่ อีกทั้งยัง ส่งผลดีต่อ SEO เพราะโครงสร้างเว็บไซต์ที่ชัดเจนจะช่วยให้บอทของเครื่องมือค้นหาสามารถรวบรวมและเข้าใจข้อมูลภายในเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์มีอันดับการค้นหาที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

โครงสร้างเว็บไซต์มีกี่แบบ

โครงสร้างเว็บไซต์โดยทั่วไปที่ใช้กันเป็นสากลนั้นแบ่งออกเป็น 4 แบบหลักซึ่งแต่ละแบบมีจุดเด่นและการใช้งานที่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของเว็บไซต์และลักษณะของเนื้อหาที่ต้องการนำเสนอ หากเข้าใจรูปแบบเหล่านี้ จะช่วยให้การวางแผนเว็บไซต์มีทิศทางที่ชัดเจน และพัฒนาได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น โดยโครงสร้างเว็บไซต์ทั้ง 4 แบบ ได้แก่

1. Linear Structure (โครงสร้างแบบเส้นตรง)

โครงสร้างเว็บไซต์แบบ Linear หรือที่บางคนเรียกว่า Sequential Structure เป็นรูปแบบที่เนื้อหาถูกจัดเรียงเป็นลำดับต่อเนื่องทีละขั้น เช่น หน้าแรก → หน้าต่อไป → หน้าสุดท้าย เหมาะกับเว็บไซต์ที่มีการเล่าเรื่องหรือข้อมูลที่ต้องการให้อ่านตามลำดับ เช่น คอร์สเรียนออนไลน์, เว็บไซต์แนะนำสินค้าแบบ Step by Step หรืออีบุ๊กออนไลน์ ข้อดีคือเรียบง่าย เข้าใจง่าย แต่ข้อจำกัดคือไม่ยืดหยุ่นมากนัก ผู้ใช้ต้องเดินตามเส้นทางที่เรากำหนดไว้เท่านั้น

2. Hierarchical Structure (โครงสร้างแบบลำดับชั้น)

Hierarchical Structure คือรูปแบบที่นิยมที่สุดในโลกของเว็บไซต์ เพราะคล้ายแผนผังต้นไม้ (Tree Structure) โดยมีหน้า Home อยู่ด้านบนสุด จากนั้นแตกแขนงเป็นหมวดหลัก และต่อด้วยหมวดย่อย เหมาะกับเว็บไซต์ที่มีข้อมูลจำนวนมาก เช่น เว็บไซต์องค์กร, เว็บไซต์ขายสินค้า, เว็บไซต์ให้บริการหลายประเภท ข้อดีคือเป็นระเบียบ เข้าใจง่าย และ Google ก็สามารถอ่านโครงสร้างได้ชัดเจน ซึ่งช่วยต่อยอดด้าน SEO ได้ดีมาก ส่วนตัวเรามองว่าโครงสร้างนี้คือ “โครงหลักที่เว็บไซต์ส่วนใหญ่ควรใช้” แล้วค่อยปรับเพิ่มลิงก์เชื่อมโยงภายหลังตามความเหมาะสม

3. Web Linked Structure (โครงสร้างแบบเชื่อมโยง)

Web Linked Structure หรือ โครงสร้างเว็บไซต์แบบเชื่อมโยง จะเน้นการเชื่อมโยงถึงกันของทุกหน้าเป็นเครือข่าย(Network) หมายความว่าไม่ว่าผู้ใช้จะเข้าหน้าไหนก่อน ก็สามารถคลิกไปยังหน้าอื่น ๆ ได้ตลอดเวลา เป็นโครงสร้างที่เปิดกว้างและยืดหยุ่นมาก เหมาะกับเว็บไซต์ขนาดเล็กที่มีจำนวนหน้าไม่มาก (เช่น 5–10 หน้า) เพื่อให้ผู้ใช้งานสำรวจข้อมูลไปมาได้ง่าย จุดเด่นคือช่วยเพิ่มเวลาในการอยู่บนเว็บไซต์ แต่ข้อเสียคือถ้ามีหน้ามากเกินไป จะเริ่มสับสนและทำให้ระบบภายในซับซ้อน ทั้งต่อผู้ใช้และต่อการเก็บข้อมูลของ Google

4. Hybrid Structure (โครงสร้างแบบผสม)

โครงสร้างแบบผสมคือการนำจุดเด่นของหลายรูปแบบมารวมกัน โดยส่วนใหญ่จะใช้ Hierarchical Structure เป็นแกนหลักแล้วเติมความยืดหยุ่นด้วยลิงก์เชื่อมโยงแบบ Linear หรือ Web Linked ในบางส่วน เช่น หน้า Landing Page หรือหน้าคอร์สเรียนที่ต้องการให้ผู้ใช้ไล่ดูข้อมูลตามลำดับ ข้อดีคือมีความสมดุลระหว่าง “ความเป็นระบบ” กับ “ความยืดหยุ่น” เหมาะสำหรับเว็บไซต์ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ที่ต้องการขยายต่อในอนาคต และในมุมของเรา โครงสร้างแบบนี้คือ คำตอบที่ดีที่สุดสำหรับเว็บที่ต้องการทั้งประสิทธิภาพ SEO และประสบการณ์ใช้งานที่ดีพร้อมกัน

ตัวอย่างโครงสร้างเว็บไซต์ (Website Structure) ดาวน์โหลดฟรี

สำหรับใครที่อยากเริ่มวางแผนโครงสร้างเว็บไซต์แบบมืออาชีพ เราได้เตรียม Template โครงสร้างเว็บไซต์ที่ Sixtygram ใช้จริงกับลูกค้า มาให้ดาวน์โหลดฟรีในรูปแบบ Google Sheet คุณสามารถนำไปปรับใช้ได้ทันที ทั้งสำหรับเว็บไซต์บริษัท, เว็บไซต์บริการ, หรือเว็บไซต์สายคอนเทนต์ โครงสร้างนี้จะช่วยให้คุณเห็นภาพชัดว่าหน้าไหนควรอยู่ตำแหน่งใด แต่ละหน้าเชื่อมโยงกันอย่างไร และจะวางเส้นทาง SEO ยังไงให้เว็บไซต์เติบโตได้จริง

เทมเพลตนี้เหมาะมากสำหรับทั้งธุรกิจที่อยากเข้าใจระบบ SEO ภาพรวม และนักพัฒนาเว็บไซต์ที่ต้องการ Framework สำหรับเริ่มสร้างเว็บไซต์ใหม่จากศูนย์ โดยเราจัดหมวดไว้ครบ ตั้งแต่หน้า Home, Category, Service, Blog Post, ไปจนถึงหน้า Conversion พร้อมตัวอย่างการวาง Internal Link และการใช้ Power Post เพื่อดันอันดับคำหลักสำคัญในแต่ละหมวด คุณสามารถดาวน์โหลดและนำไปปรับใช้กับโปรเจกต์ของคุณ

วิธีการทำโครงสร้างเว็บไซต์ (Website Structure)

โครงสร้างเว็บไซต์ในภาพด้านบนคือรูปแบบที่เราใช้บ่อยมากในงานจริง เพราะมันช่วยให้เว็บไซต์เป็นระบบระเบียบ เหมาะกับทั้ง SEO และ UX ไปพร้อมกัน โครงสร้างนี้เน้นให้หน้า Home เป็นศูนย์กลาง จากนั้นแตกออกเป็น Category หลัก และในแต่ละ Category ก็มีหน้าเนื้อหาย่อยที่ช่วยเสริมแรงให้กันอย่างเป็นระบบ ทั้งหมดนี้คือการออกแบบให้ทุกหน้าเว็บมีเป้าหมายและหน้าที่ชัดเจน

1. เริ่มจาก Home (หน้าแรกของเว็บไซต์)

หน้า Home คือจุดศูนย์กลางของเว็บไซต์ เป็นเหมือน หน้าหลักของทุกการเดินทาง เราควรวางเมนูหลัก (Navigation Menu) ให้ผู้ใช้เข้าถึงหมวดต่าง ๆ ได้ง่าย และจากมุมมอง SEO หน้า Home ยังเป็นแหล่งรวมลิงก์ภายใน (Internal Links) ที่ส่งพลังไปยังทุกหน้าอื่น ๆ ของเว็บ

2. แบ่ง Category หลักออกเป็นหมวดหมู่ย่อย

ในภาพจะเห็นว่าเรามี Category 1, Category 2 และ Category 3 ซึ่งแต่ละหมวดแทนหัวข้อหลักของเว็บไซต์ เช่น หมวดบริการ, หมวดบทความ, หรือหมวดผลิตภัณฑ์ การทำแบบนี้ช่วยให้ Google เข้าใจว่าเว็บเราพูดถึงเรื่องอะไร และช่วยจัดกลุ่มเนื้อหาได้ง่ายเวลาเราขยายเว็บในอนาคต

3. หน้า Category และการทำ 301 Redirect

ใต้แต่ละ Category จะมี “หน้า Category” ที่เชื่อมโยงจากบทความหรือหน้ารายละเอียดต่าง ๆ ซึ่งบางครั้งเราอาจใช้ 301 Redirect เพื่อรวมลิงก์จากเพจเก่าเข้ามายังหน้า Category ปัจจุบัน เป็นเทคนิคที่ช่วยรักษาแรง SEO (Link Juice) และไม่ให้เกิด Duplicate Content

4. จัดทำ Buying Keyword Power Post และ Info Keyword

Buying KW (Buying Keyword Post) คือบทความหรือเพจที่เน้นคำค้นเชิงพาณิชย์ เช่น “ซื้อบ้านราคาถูก” หรือ “จ้างทำ SEO ราคาดี” เหมาะสำหรับดึงลูกค้าที่พร้อมตัดสินใจ

Power Post คือบทความขนาดใหญ่ที่รวมเนื้อหาหลัก ๆ ของหมวดนั้น ๆ ไว้ทั้งหมด เพื่อดันอันดับและส่งพลังลิงก์ให้หน้าอื่น เป็นเหมือน “แม่บท” ของหมวด

Info KW (Informational Keyword Post) คือบทความที่ให้ความรู้ เช่น “SEO คืออะไร” หรือ “โครงสร้างเว็บไซต์มีกี่แบบ” เหมาะกับการสร้างการรับรู้และดึงทราฟฟิกจากกลุ่มคนที่ยังอยู่ต้นทางของการค้นหา

5. หน้าข้อมูลทั่วไป (About / Privacy / Contact / Disclaimer)

ส่วนของ About, Privacy, Contact และ Disclaimer คือหน้ามาตรฐานที่ทุกเว็บไซต์ควรมี เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและความสมบูรณ์ของเว็บ โดยเฉพาะในสาย SEO Google จะให้ความสำคัญกับเว็บที่มีหน้าเหล่านี้ครบ เพราะถือว่าเป็นสัญญาณความน่าเชื่อถือ (Trustworthiness) นั่นเอง

หลักคิดของการวาง Website Structure

โครงสร้างเว็บไซต์ที่ Sixtygram ใช้และมาบอกเล่าให้คุณฟังในบทความไม่ได้เกิดจากการออกแบบเพื่อความสวยงามหรือความเป็นระเบียบเท่านั้น แต่เกิดจาก หลักคิดที่มองเว็บไซต์เป็นระบบกลยุทธ์ (Strategic System) ที่ต้องตอบโจทย์ทั้ง “ผู้ใช้” และ “เสิร์ชเอนจิน” ไปพร้อมๆ กัน เเพราะราเชื่อว่าทุกหน้าเว็บมีหน้าที่เฉพาะของมัน โดยหน้า Home คือศูนย์กลางการส่งพลัง SEO และภาพรวมแบรนด์, หน้า Category คือแกนเนื้อหาหลักที่เชื่อมโยงหมวดต่าง ๆ หน้า Sale Page คือจุด Conversion ที่ต้องดึงดูดและชัดเจนที่สุด และที่ Power Post และ Info Post คือฐานความรู้ที่สร้างการมองเห็นและความน่าเชื่อถือให้ทั้งแบรนด์และโดเมน การจัดลำดับเช่นนี้ทำให้เว็บไซต์เติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นเว็บสายบริการ เว็บองค์กร หรือเว็บขายสินค้าออนไลน์

ในมุมของการทำ SEO เราเลือกใช้โครงสร้างแบบ Hierarchical + Internal Linking System เพราะพิสูจน์แล้วว่าช่วยให้ Google เข้าใจโครงสร้างและเจตนาของเว็บไซต์ได้ง่ายที่สุด แต่ละหน้าไม่แย่งกันทำอันดับ เพราะทุกหน้ามี Keyword Intent ชัดเจน เช่น หน้า Sale Page เจาะคำเชิงพาณิชย์ (Commercial Intent) ส่วนหน้า Power Post จะเก็บคำที่มี Search Volume สูงและส่งลิงก์กลับไปหน้า Sale Page เพื่อดันอันดับ เป็นระบบที่โครงสร้างเว็บไซต์ออกแบบมาให้ช่วยกันทำงาน ไม่ใช่แค่แยกหมวดไว้เฉย ๆ และนี่คือเหตุผลว่าทำไม Sixtygram ถึงเลือกใช้ Website Structure แบบนี้กับทุกโปรเจกต์ของเรา เพราะมันไม่ใช่แค่เว็บที่สวย แต่มันคือ เว็บที่ขายได้จริงและเติบโตได้ระยะยาว นั่นเอง

Categories: ทั่วไป
X