การทำธุรกิจผ่านโลกออนไลน์สามารถเริ่มต้นได้อย่างดียิ่งขึ้นหากคุณรู้จักใช้เครื่องมือให้ถูกต้อง ซึ่งหมายความว่าเครื่องมือค้นหาเช่น Google และ Bing นั้นยอดเยี่ยมในการแสดงผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณต่อหน้าผู้มีโอกาสเป็นลูกค้า และ “เว็บไซต์” ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญที่เปรียบเสมือนหน้าร้านบนโลกออนไลน์ การทำ SEO กับ SEM จึงสำคัญอย่างมาก แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าทั้งสองอย่างนี้เหมือนกันหรือแตกต่างกัน? แม้ว่าจะชื่อจะคล้ายกันแตวิธีการใช้งานอาจจะแตกต่างกัน วันนี้พวกเรา Sixtygram จะพาคุณไปสำรวจว่า SEO กับ SEM แตกต่างกันอย่างไร!
SEO
SEO ย่อมาจาก “Search Engine Optimization” ซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่าการเพิ่มประสิทธิภาพกลไกค้นหา พูดง่ายๆ ก็คือ SEO หมายถึงกระบวนการปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณเพื่อเพิ่มการมองเห็นในระบบค้นหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Google, Microsoft Bing, Facebook และเครื่องมือค้นหาตามเว็บไซต์ใดๆก็ตามเมื่อมีคนค้นหาตามถ้อยคำ (Keyword) ยิ่งหน้าเว็บของคุณปรากฏในผลการค้นหาได้ดียิ่งขึ้นเท่าใด ตามอันดับของผลการค้นหา(Ranking) คุณก็จะมีโอกาสถูกพบเห็นและเพิ่มโอกาศให้ลูกค้าคลิกเข้าชมมากขึ้นเท่านั้น ท้ายที่สุดแล้ว เป้าหมายของการเพิ่มประสิทธิภาพกลไกค้นหาด้วย SEO คือการช่วยดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่จะกลายเป็นลูกค้า หรือผู้ชมที่กลับมาพิจารณาเพื่อสั่งซื้อหรืออ่านเนื้อหาของคุณมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนำไปสู่การปิดการขายในที่สุด อ่านความหมายของ SEO
SEM
SEM ย่อมากจาก “Search Engine Marketing” คือ การตลาดผ่านเครื่องมือค้นหา (SEM) เป็นกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลที่เพิ่มการมองเห็นเว็บไซต์ในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERP) โดยใช้การโฆษณาแบบเสียค่าใช้จ่าย เรียกอีกอย่างว่าการตลาดผ่านการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายหรือจ่ายต่อคลิก (PPC) โดยทั่วไป SEM เกี่ยวข้องกับการใช้แคมเปญโฆษณาในการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่าย เช่น Google AdWords เพื่อแสดงโฆษณาที่ด้านบนหรือด้านล่างของหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา โฆษณาเหล่านี้สร้างขึ้นจากคำหลักเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ บริการ หรือเนื้อหาที่นำเสนอ กลยุทธ์นี้เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการเข้าถึงลูกค้าใหม่ เพิ่มปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ และสร้างโอกาสในการขาย
คุณอาจสังเกตเห็นคำจำกัดความที่แตกต่างกันของ SEM ทั่วทั้งเว็บ หรือบางที่จะกำหนดให้ SEM เป็นการตลาดแบบชำระเงินเท่านั้น ในขณะที่แหล่งข้อมูลอื่นๆ ระบุว่า SEM มีทั้งกลยุทธ์การตลาดแบบออร์แกนิกและแบบชำระเงิน ไม่มีคำอธิบายใดที่ “ผิด” แต่อย่างใด – มีหลายคำจำกัดความ ขึ้นอยู่กับผู้เขียนหรือสิ่งพิมพ์ ในแหล่งข้อมูลนี้ เราจะอธิบายประเภท ประโยชน์ และวิธีการวัดความสำเร็จของ SEM ที่เกี่ยวข้องกับการโฆษณาแบบชำระเงิน โดยในการทำ PPC ผู้ทำจะต้องประมูลคีย์เวิร์ดเพื่อที่จะให้โฆษณาปรากฎเมื่อมีการค้นหาใน Search Engine โดยโฆษณาจะแสดงที่ตำแหน่งใดนั้น จะถูกกำหนดโดยค่าประมูลที่เรียกว่า Max. CPC หรือ Maximum Cost Per Click
ประเภทของ SEM
เมื่อคุณค้นหาคำหลักใน Google หรือเครื่องมือค้นหาอื่น SERP จะแสดงผลลัพธ์ที่ประกอบด้วยทั้งผลลัพธ์ทั่วไปและโฆษณาที่เสียค่าใช้จ่าย โฆษณามีหลายรูปแบบ และโดยทั่วไปเครื่องมือค้นหาจะระบุว่าผลลัพธ์ใดเป็นโฆษณาแบบชำระเงิน เช่น
1. การค้นหาผ่านการโฆษณา (Search Ads)
2. โฆษณาผ่านรูปภาพหรือแบนเนอร์ (Display Ads)
โฆษณาแบบรูปภาพ คือ โฆษณาแบบรูปแบบนึงที่ปรากฏบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน โฆษณาเหล่านี้ช่วยให้คุณเป็นที่หนึ่งในใจโดยเข้าถึงผู้ชมของคุณในขณะที่พวกเขาเรียกดูไซต์และแอปที่พวกเขาชื่นชอบ ไซต์และแอปเหล่านี้ดึงมาจากเครือข่ายดิสเพลย์ของ Google (GDN) ซึ่งเป็นกลุ่มของเว็บไซต์ วิดีโอ และแอปมากกว่า 2 ล้านรายการที่โฆษณาของคุณสามารถปรากฏได้
3. โฆษณารายการสินค้า (Shopping Ads)
โฆษณา Shopping คือ รายการสินค้าที่ปรากฏที่ด้านบนของ SERP สำหรับการค้นหาที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ยังปรากฏในแท็บ Google Shopping และโดยทั่วไปจะมีรูปภาพผลิตภัณฑ์ ราคา และลิงก์ไปยังหน้าผลิตภัณฑ์
4. โฆษณาใกล้คุณ (Local Service Ads)
โฆษณาใกล้คุณ หรือจัดการบริการใกล้คุณจะปรากฏที่ด้านบนของ SERP สำหรับธุรกิจในท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับคำสำคัญที่ผู้ใช้ค้นหา โดยทั่วไปจะประกอบด้วยชื่อธุรกิจ บทวิจารณ์ เมือง หมายเลขโทรศัพท์ เวลาทำการ และอื่นๆ
SEO กับ SEM แตกต่างกันอย่างไร
ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่าง SEO กับ SEM ก็คือ ความพยายามในการโฟกัสคีย์เวิร์ดหลักและคีย์เวิร์ดรองของ SEO ส่งผลให้ปรากฏในผลการค้นหาทั่วไป และความพยายามของ SEM ส่งผลให้ปรากฏในผลลัพธ์ที่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่ความคล้ายคลึงกันระหว่าง SEO และ SEM คือทั้งสองกลยุทธ์ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจโดยดึงดูดปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณจากเครื่องมือค้นหาได้ เป็นการเพิ่มยอดกำไรของคุณได้เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบออแกนิกหรือรูปแบบที่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
SEO | SEM |
---|---|
ยอดค้นหา และยอดคลิกเป็น Organic ไม่เสียค่าใช้จ่าย | ยอดค้นหา และยอดคลิกเป็นเสียค่าใช้จ่าย |
สร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจกับธุรกิจในระยะยาว | โปรโมตระยะสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ |
เน้น Content ที่มีคุณภาพ ผ่านการวิเคราะห์คู่แข่ง | สามารถเปลี่ยน Keyword ได้ตลอดเวลา |
ใช้เวลา 3-5 เดือน ในการไต่แรงค์ เพื่อติดอันดับ Google | จำเป็นจะต้องประมูล แข่งขันเรื่องการซื้อ Keyword |
ต้องอัปเดตคอนเทนต์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แสดงผลให้หน้าแรกของการค้นหา | เมื่อจ่ายเงินโปรโมตมากเกินไปอาจะทำให้ความน่าเชื่อถือลดน้อยลง |
สรุปแล้วเลือกการตลาดแบบไหนดี?
เป้าหมาย: ท้ายที่สุด เป้าหมายของคุณกับกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลคือการเพิ่ม Conversion ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ ดาวน์โหลด กรอกแบบฟอร์ม หรือดำเนินการตามที่คุณต้องการ
ระยะเวลา: SEO เป็นกลยุทธ์ระยะยาวที่รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพทางเทคนิคทั้งในเพจ นอกเพจ และในทางเทคนิค อาจต้องใช้เวลาก่อนที่จะได้ผลลัพธ์ และคุณไม่สามารถควบคุมได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้เร็วแค่ไหน อย่างไรก็ตาม SEM สามารถสร้างผลลัพธ์ที่รวดเร็วและให้การควบคุมแคมเปญได้ดียิ่งขึ้น มันสามารถนำไปสู่การเข้าชมและการเปลี่ยนแปลงได้ทันที
งบประมาณ: แม้ว่าการทำ SEO จะไม่เสียค่าใช้ แต่ SEO ต้องใช้เวลาและทรัพยากรในการดำเนินการและบำรุงรักษา ขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมและคู่แข่งของคุณ อย่างไรก็ตาม SEO มีผลกระทบระยะยาวซึ่งสามารถขับเคลื่อนปริมาณการเข้าชมและการเปลี่ยนแปลงได้อย่างต่อเนื่อง ในทางกลับกัน SEM อาจมีราคาแพงกว่าในระยะยาว เนื่องจากต้องมีการลงทุนซ้ำเพื่อจ่ายค่ารับส่งข้อมูล
หากคุณมีเวลาแต่มีงบประมาณจำกัด การเน้นที่ SEO อาจเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด หากคุณต้องการผลลัพธ์เร่งด่วนและ/หรือมีงบประมาณมากขึ้น การมุ่งเน้นไปที่ SEM อาจเป็นวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไป การผสมผสานระหว่าง SEO และ SEM จะมีประสิทธิภาพในการเพิ่มการมองเห็นการค้นหา เพิ่มปริมาณการเข้าชม และเพิ่ม Conversion ดังนั้นแล้ว คำตอบเราควรเลือกทำการตลาดแบบไหน? คำตอบอาจจะขึ้นอยู่กับคุณ แต่เราขอแนะนำสั้นๆ ว่าเลือกทั้งคู่! เนื่องจากการรวมกลยุทธ์ SEO และ SEM เข้าด้วยกันเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจระยะสั้นและระยะยาว กลยุทธ์ SEO ที่ครอบคลุมและยั่งยืนถือเป็นสิ่งสำคัญ ในขณะที่ SEM เป็นวิธีระยะสั้นที่มีประสิทธิภาพในการดึงดูดธุรกิจ ในขณะที่คุณทำงานเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพทางเทคนิค เนื้อหา และลิงก์ของเว็บไซต์ หรือปรึกษาเราได้โดยตรงเพื่อกำหนดทิศทางธุรกิจของคุณให้ใกล้เป้าหมายมากขึ้น!